อื่นๆ
ชฎา
เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย ช่วงคึกคะนองของเหล่าวัยรุ่นทั้งหลาย ผมสอบเข้าโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัดได้ มีเพื่อนที่สนิทกัน คุณครูที่นั้นก็สอนดี ทุกอย่างในช่วงชีวิตตอนนั้นเหมือนจะดีหมดจนกระทั่ง
เช้าวันหนึ่งเป็นวันอังคารที่ดูแสนจะธรรมดาๆ ไม่มีอะไรหวือหวาหรือน่าตื่นเต้น แต่เรื่องราวที่มันเกาะกุมหัวใจของผมมานานมันเริ่มนะตรงนี้ ก่อนอื่นเลยผมต้องแนะนำให้รู้จักเพื่อนในกลุ่มของผมทั้งหมด เรามีอยู่ด้วยกันห้าคน สนิทกันมาก มีฝ้าย ปุ๋ย เคน และฟิล์ม รวมผมเข้าไปอีกคนก็ครบกลุ่มพอดี วันนั้นเผอิญกลุ่มเราค่อนข้างจะเป็นเด็กที่ไม่ทำตามกฎระเบียบของโรงเรียนมากเท่าไร ผมนัดรวมตัวเพื่อนเพื่อเข้าโรงเรียนพร้อมกันตอนเก้าโมงเช้า ซึ่งแน่นอนว่ามันก็เลยเวลาคาบเรียนแรกไปนานมาก วิชาแรกของวันนี้เป็นวิชานาฏศิลป์ พอพวกเราเข้าเรียนยกแก๊งภายในห้านาทีสุดท้าย คุณครูมยุรีก็เอยเปรยด้วยน้ำเสียงสุภาพที่สุดสั่งให้ถูกลงโทษด้วยการไปเก็บกวาดห้องนาฏศิลป์เก่าตอนพักเที่ยง เราทั้งหมดจึงต้องยอมรับคำสั่งโดยทันที
Advertisement
Advertisement
พอตอนเที่ยงเพื่อนๆ คนอื่นก็พากันไปทานข้าวที่โรงอาหาร ส่วนพวกผมก็ยืนรอขึ้นลิฟต์ไปชั้น 7 เพราะห้องนาฏศิลป์เก่าอยู่ด้านบนสุด คุณครูมยุรีได้มาเปิดประตูห้องรอพวกผมเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับอุปกรณ์ทำความสะอาดทั้งไม้กวาดดอกหญ้า ไม้กวาดหยากไย่ ถัง ไม้ถูผืน ผ้าขี้ริ้วอีกสองสามผืน ตอนนั้นผมได้แต่คิดในใจว่าคุณครูคงอยากให้เราทำความสะอาดจนห้องใสปิ๋งๆ แบบในการ์ตูนละมั้ง เลยเอาอุปกรณ์ทำความสะอาดมาให้เยอะขนาดนี้ ผมซึ่งเป็นผู้ชายที่ตัวสูงและแรงดี เลยหยิบไม้กวาดหยากไย่ทยอยปัดพวกใยแมงมุมด้านบนลงมา พอเสร็จเรียบร้อยฝ้ายก็เริ่มหยิบผ้าที่คลุมตู้ คลุมชั้นวางของต่างๆ ออกมากองไว้ด้านนอก
“เหี้ย มึงดูสิ กูโคตรชอบเลยอะ” ปุ๋ยพูดเชิญชวนเพื่อนๆ ด้วยความสนใจ พอผมหันไปทางด้านนั้นก็พบกับโต๊ะที่วางหัวโขนต่างๆ ไว้เป็นลำดับชั้น
“ไม่ต้องพูดได้ไหมว่ะ รีบทำกูหิว” เคนปราม
Advertisement
Advertisement
ผมก็ได้แต่ส่ายหัวแล้วหันกลับมากกวาดพื้นต่อ แต่ไม่ทันไรภาพที่เห็นต่อจากนั้น คือปุ๋ยนำชฎาอันไหนที่วางตรงชั้นมาสวมเข้าที่หัวของตน พร้อมกับทำท่ารำไปมาเหมือนกับนักแสดงที่โขนที่เห็น
“เหี้ย กูสวยป่ะมึง” ปุ๋ยยังไม่เลิกเล่น ทำท่าร่ายรำวนไปวนมาจนทั่วห้อง
“ปุ๋ยมึงเลิกรำแล้วช่วยคนอื่นเหอะว่ะ” เคนเริ่มอารมณ์เสีย
ปุ๋ยได้แต่รับพยักหน้าเบาๆ มันเดินออกไปเติมน้ำทั้งๆ ที่หัวก็ยังใส่ชฎาไม่เลิก
สุดท้ายเราก็เหลือแค่ห้านาทีสุดท้ายในการทานข้าวเที่ยง ผมไม่ลืมที่จะล็อกห้องแล้วนำกุญแจกลับไปคืนคุณครู พอเสียงออดดังกระหึ่มทั่วทั้งโรงเรียนเราทั้งคนก็ทยอยเข้าห้อง
คาบภาษาไทยเป็นคาบที่ชวนผมหลับมากที่สุด ยิ่งประกอบกับเสียงของอาจารย์ที่ขับสักวาให้ฟัง ผมก็เผลอฟุบลงกับโต๊ะไม้ที่มีรอยขีดเขียนเต็มไปหมด พอตื่นมาผมตกใจยิ่งกว่าเพราะมันยังเหลืออีกครึ่งชั่วโมงในคาบนี้ ทั้งๆ ที่ผมคิดว่าผมคงตื่นตอนเช็คชื่อท้ายคาบพอดี ทำให้ผมต้องนั่งหงอยๆ เบื่อๆ ไปอย่างเรื่อยเปื่อย พอมองไปรอบๆ ห้องก็เห็นที่นั่งด้านหน้าของผมว่างอยู่
Advertisement
Advertisement
“ไอ้เคน แล้วไอ้ปุ๋ยหายไปไหนว่ะ” ผมถาม
“เห็นมันบอกว่าปวดฉี่ ออกไปเข้าห้องน้ำนั้นแหละ”
พอได้คำตอบจากปากเพื่อนชายคนสนิท ผมก็ทอดสายตายาวออกไปนอกหน้าต่างของอาคารเรียนชั้นสูงนี้ เห็นก้อนสีขาวลอยตัวทาบทับกับท้องฟ้าสีคราม บางก้อนก็จับเป็นรูปร่างต่าง ‘นี่ม้า นั่นนก ส่วนก้อนนั้นกระต่าย’ ผมนั่งจมอยู่กับจินตนาการจนกระทั่งสายตาแวบหนึ่งเห็นก้อนสีขาวๆ ครามๆ หล่นมาจากชั้นด้านบนพร้อมกับเสียงที่ตามมา
ตุ้บ!
แล้วทุกคนในห้องก็ลุกออกจากเก้าอี้โดยอัตโนมัติ พร้อมกับมุงดูที่หน้าต่างห้อง ผมเองก็ไม่รอช้ารีบแหวกคนอื่นๆ ให้พ้นทาง พอได้ที่ดีๆ แล้วก็ลดสายตามองลงไปที่พื้นด้านล่าง
“เหี้ยไอ้ปุ๋ย”
ผมตะโกนชื่อนี้ออกมาโดยไม่คิดชีวิตพร้อมกับวิ่งออกไป ผมลงบันไดมาจากชั้นสี่ด้วยความรวดเร็ว พอมาถึงด้านล่าง ก็มีคุณครูพยายามกันไม่ให้นักเรียนมุงดู
ผมเห็นเพื่อนผมนอนจมกองเลือดที่แดงที่ทำท่าไหลออกมาไม่หยุด ตาของเธอไม่ปิด กระดูกขามีลักษณะคดโค้งบิดเบี้ยวผิดรูป และด้านบนของศีรษะมีชฎาอันนั้นสวมอยู่ด้วย
ผมร้องไห้ กรีดร้อง พยายามวิ่งดันอาจารย์เพื่อเข้าไปหาเพื่อนผม ไอ้เคน ฝ้าย ฟิล์ม ตามลงมาทีหลังพวกมันช็อค ผมก็เช่นเดียวกัน ตอนนั้นผมเหมือนหมาบ้า ผมไม่รู้ว่าควรทำยังไงต่อ ผมสมองตื้อไปหมด กับการที่ได้เห็นหน้าเพื่อนตายต่อหน้าต่อตา
สุดท้ายผมก็ได้รับบทเรียนในชีวิต ถ้าตอนนั้นผมไม่ปล่อยให้ปุ๋ยเล่น มันคงไม่เกิดเหตุการณ์นี้ ข่าวลือต่างๆ แพร่กระจายออกไปทั่วโรงเรียน ทั้งว่าปุ๋ยฆ่าตัวตายเพราะครอบครัว หรือเพราะผลการเรียนแย่ต่างๆ นานา แต่ผมรู้ดีว่าเพราะอะไร
เพราะของบางอย่างมันไม่ควรไปเล่นด้วยไง
ความคิดเห็น