อื่นๆ
พวกเรามาอยู่บ้านนอกกันเถอะ!!
ชีวิตของผมจับพลัดจับผลู ได้มาใช้ชีวิตอยู่ในชนบท ณ ตำบลโคกม่วง อำเภอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แรก ๆ เหมือนจะปรับตัวไม่ค่อยได้ แต่พอลมหนาวเข้ามาเยี่ยมเยือน มันก็พอทำให้อารมณ์หงุดหงิดงุ่นง่าน เวลาที่อะไรต่อมิอะไรมันติดขัดและไม่ได้ดั่งใจ เพราะยังไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อม มันพอผ่อนคลายลงได้บ้าง
ผมเดินทางด้วยรถไฟจากสถานีหัวลำโพง ด้วยขบวนรถชานเมือง เพื่อมาลงที่สถานีชุมทางบ้านภาชี โดยรุ่นพี่ของผมขับรถกระบะเก่า ๆ มารอรับ หลังจากที่ได้ติดต่อกันเรียบร้อยแล้วว่าผมจะขอมาพักอาศัยที่บ้านของแก เพื่อรอให้ปัญหาที่คาราคาซังของผมมันจบลงเสียก่อน เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะจบลงตอนไหนเท่านั้นเอง
สถานที่ที่ผมพักอาศัยอยู่ เป็นบ้านของรุ่นพี่ ที่อาศัยอยู่กับพ่อและแม่ แกเป็นโสด ไม่มีลูกเมีย จึงไม่เป็นปัญหามากมายนักที่ผมจะมาพักอาศัยอยู่ด้วยชั่วคราว เพราะเรารู้จัก คบกันเหมือนพี่น้องจริงๆมาหลายปีแล้ว มีก็แต่ตัวผมนี่สิที่เป็นปัญหากับสภาพแวดล้อมใหม่
Advertisement
Advertisement
เริ่มจากอันดับแรกเลยคือเรื่องการตื่นนอน ปกติผมก็ไม่ใช่คนตื่นสายจนตะวันโด่งหรอก แต่ให้ตื่นตั้งแต่ตีสี่ครึ่งนี่สิ คือว่าถ้าไม่มีธุระปะปังอะไรจำเป็นจริง ๆ ผมไม่มีทางตื่นเวลานี้แน่
คนชนบทนี่เขาตื่นแต่ดึกแต่ดื่นเพื่อลุกขึ้นมาหุงหาอาหาร เบื้องต้นเลยคือสำหรับใส่บาตร ไอ้เรานั้นเคยตื่นประมาณเจ็ดโมงเช้า พอลืมตาขึ้นมา ก็เห็นดวงอาทิตย์แล้ว จริง ๆ ผมก็สามารถนอนต่อไปได้จนถึงเวลาปกติของตัวเอง แต่ความเกรงใจที่มันขยุ้มคอหอยผมอยู่เพราะเรามาอาศัยเขาอยู่ ทำให้ผมต้องตื่นตามรุ่นพี่ ถึงไม่รู้ว่าจะช่วยงานอะไรตรงไหนได้ เพราะมันเป็นเช้ามืดแรกของผมในสถานที่ใหม่ เอาเป็นว่านั่งกินกาแฟตากยุง คอยเอาใจช่วยรุ่นพี่ที่กำลังง่วนอยู่หน้าเตาก็ยังดี หยิบ ๆ จับ ๆ อะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ถึงจะ เก้ ๆ กัง ๆ ไปบ้าง คงดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย
Advertisement
Advertisement
ค่อย ๆ เรียนรู้วิถีชีวิตใหม่ในวันแรกทีละเล็กทีละน้อย พอประมาณเจ็ดโมงนิด ๆ พระสงฆ์ท่านก็เดินบิณฑบาตผ่านมาสองรูป รุ่นพี่ก็นำถาดที่มีข้าว กับข้าว และน้ำดื่ม นำไปให้แม่ขึ้นจบเหนือหัวเสียก่อน จากนั้นก็เดินไปตักบาตร ผมนั่งถามตัวเองว่า "นี่เราตักบาตรครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กัน?" มันเป็นคำถามที่คนในเมืองอย่างผมฉุกคิดขึ้นมาอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ นานมากทีเดียว แม้กระทั่งวันคล้ายวันเกิดตัวเอง ก็ยังไม่ได้ตักบาตรมาหลายปีแล้ว
ลำดับต่อมา คือเรื่องทำกับข้าว ปรกติผมเองไม่ค่อยถนัดด้านทำครัวมากนัก เต็มที่ก็เจียวไข่ ซึ่งเอาเป็นว่ารสชาติน่ะพอได้ แต่หน้าตาไม่ต้องพูดถึง เนื่องจากแม่ของรุ่นพี่แกป่วยออด ๆ แอด ๆ เป็นทั้งโรคหัวใจ เบาหวาน และความดัน ความรับผิดชอบของรุ่นพี่นอกจากเรื่องออกรับซื้อของเก่ากับพ่อแล้ว ยังมีหน้าที่ต้องหุงข้าว ทำกับข้าว รวมทั้งจ่ายตลาดด้วย
Advertisement
Advertisement
ที่นี่ใช้เตาถ่านหุงข้าว และทำกับข้าวครับ ความที่เป็นถิ่นชนบท หรือเรียกกันแบบสะดวกปากเลย ก็คือ "บ้านนอก" ห่างไกลจากตลาดพอสมควร เรื่องจะสั่งก๊าซหุงต้มหรือจะไปซื้อที่ร้าน ค่อนข้างลำบากครับ และด้วยความที่ครอบครัวนี้ปฏิบัติกันแบบนี้มานาน (คือหุงหาอาหารด้วยเตาถ่าน) ทำให้ไม่ค่อยคุ้นชินกับการใช้เตาแก๊สสักเท่าไหร่ แต่ว่าไม่ใช่ว่าไม่มีใช้นะครับ เพียงแต่จะใช้ก็ต่อเมื่อมีงานสำคัญ ๆ หรือมีแขกเหรื่อมาเยือนที่บ้านหลายคน
ต้นไม้ต้นไร่รอบ ๆ อาณาเขตบ้าน เต็มไปด้วยนานาพันธุ์พืช ฉะนั้นเรื่องหาฟืนนั้นไม่ยากเลย เพราะมีกิ่งไม้แห้งร่วงตกลงมาตลอดทั้งวัน ทุกวัน ส่วนถ่านนั้น ละแวกใกล้บ้านมีลุงอยู่คนหนึ่งที่แกเผาถ่านขาย กระสอบละหนึ่งร้อยห้าสิบบาท น้ำหนักนั้นผมเคยลองชั่งดู หนักประมาณสิบเจ็ดกิโลกรัม ซึ่งก็ใช้ได้นานถึงครึ่งเดือนทีเดียว
ปัจจุบัน ณ วันที่ผมเขียนบทความอยู่นี้ หน้าที่จ่ายตลาด รวมถึงทำกับข้าวบางอย่าง ตกอยู่กับผมแล้วโดยปริยาย และอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะสำหรับผม การช่วยแบ่งเบาภาระในส่วนที่เราพอจะทำได้ นั่นคือมารยาททางสังคมที่ควรปฏิบัติ เพราะคอยบอกตัวเองอยู่เสมอว่าเราเป็น "ผู้อาศัย"
กับข้าวที่ครอบครัวนี้กินอยู่ทุกวัน ส่วนใหญ่ก็จะหาเก็บบริเวณรอบ ๆ บ้าน มีเพียงบางอย่างที่ต้องไปซื้อหาที่ตลาด อย่างวันนี้ก็เป็นปลาดุกย่าง สะเดา น้ำปลาหวาน อย่าเพิ่งคิดว่าผมเก่งขนาดทำน้ำปลาหวานได้นะครับ เพราะผมมีแม่คอยบอก คอยเป็นลูกมืออยู่ข้าง ๆ ต่างหากล่ะ เลยรอดตัวไปได้อีกมื้อ
ปลาดุกก็หาตกในคูน้ำข้างสวน ส่วนสะเดานั้นก็มีรายล้อมอยู่รอบบ้าน น้ำปลาหวานก็ใช้เนื้อปลาดุกย่างตัวเล็กอีกตัวที่ได้ แกะเนื้อออกมาให้หมด โยนส่วนหัวให้หมาประจำบ้านไปแทะเล่น นำมาเคี่ยวในหม้อเล็กรวมกับมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ ใส่หอมแดงซอย พริกแห้งสักสี่ถึงห้าเม็ด ตามด้วยน้ำปลา เคี่ยวจนเข้ากันดี แค่นี้เราก็มีมื้อกลางวันง่าย ๆ แล้ว ลืมบอกไปอย่างหนึ่งครับ เป็นเคล็ดลับสำคัญ สะเดานั้น เมื่อลวกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้นำไปแช่ในน้ำอุณหภูมิปรกติทันที เพื่อให้สะเดาคายความขมออกมา
ถึงตรงนี้ ตอนนี้ ผมใช้เวลาอยู่ที่บ้านหลังนี้ กับครอบครัวนี้ได้สักประมาณเดือนหนึ่งแล้ว หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตของผม ทั้งการปรับตัวให้เข้ากับความเป็นอยู่ รวมถึงความคิด มุมมองของผมนั้นเปลี่ยนไป สิ่งที่รู้สึกได้คือ สุขภาพร่างกายของผมดีขึ้น เพราะอากาศที่นี่ปลอดโปร่งและบริสุทธิ์ ได้เรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ ที่เป็นจุดเริ่มต้นวิถีชีวิตดั้งเดิม จะเรียกว่าเป็นรากเหง้าของคนไทยก็ว่าได้ ความเงียบสงบของที่นี่ ทำให้ผมมีเวลาคิดใคร่ครวญ ไตร่ตรอง และหาหนทางและคำตอบบางอย่างเพื่อชีวิตในอนาคต ผมเริ่มหลงรักวิถีชีวิตบ้านนอกแบบนี้บ้างแล้ว
แต่...ยังมีเรื่องราวอีกมากมาย นับแต่วันแรกที่ผมมาเหยียบที่นี่ รวมถึงรูปภาพประกอบหลายภาพเกี่ยวกับหลายสิ่งที่ผู้อ่านหลายท่านอาจยังไม่เคยเห็น ผมจะขอนำเสนอต่อไปในบทความหน้าแล้วกันนะครับ รับรองว่า ผู้อ่านบางท่านอาจเปลี่ยนใจ แล้วชวนเพื่อนหรือคนรู้จักด้วยประโยคที่ว่า "พวกเรามาอยู่บ้านนอกกันเถอะ!!"
ภาพปก/ภาพที่ 1/ภาพที่2/ภาพที่3/ภาพที่4 โดย ผู้เขียน
เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
ความคิดเห็น