อื่นๆ
ประสบการณ์นั่งสมาธิหลอน
วันนี้จะมาขอเล่าประสบการณ์นั่งสมาธิหลอน
เรื่องมีอยู่ว่า ครั้งหนึ่งเราหาสถานที่เพื่อปฏิบัติธรรม ก่อนหน้านี้เคยไปปฏิบัติธรรมที่วัด แบบนั่งสมาธิเดินจงกลม ต้องไปนอนวัดอย่างน้อย 3วัน ทั้งเมื่อย ทั้งหิวเพราะมื้อเย็นต้องงด ทั้งง่วง หลับไปเลยก็มี แต่ครั้งนี้มีพี่ที่รู้จักเค้าแนะนำมา เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมวันเดียวก็ไปได้ ไม่ต้องถือศีลแปด และที่สำคัญสำคัญไม่ง่วงนอนเลย โดยใช้ความกลัวเป็นอารมณ์และมีครูใหญ่ช่วยฝึกปฏิบัติ เรารู้คร่าวๆแล้ว
สถานที่แห่งนี้อยู่แถวสระบุรี เป็นสถานปฏิบัติธรรมไม่ใช่วัด มีผู้ปฏิบัติทั้งเก่าและใหม่เป็นจำนวนมาก เริ่มปฏิบัติตั้งแต่ 9.00น.-17.00น. โดยมีเวลาพักเป็นระยะ และช่วงปฏิบัติกลางคืน 20.00-22.00น.โดยประมาณ แต่ถ้าดึกมากกลับไม่ไหวก็นอนพักตอนเช้าค่อยกลับก็ได้ มาลงทะเบียนตั้งแต่ 8.00น. เพราะจะได้เตรียมตัว สงบจิตใจ เข้าห้องน้ำเตรียมพร้อมรับการปฏิบัติ
Advertisement
Advertisement
โดยก่อนฝึกต้องจุดธูปบอกกล่าวขอขมากันก่อน ใช้ธูป5ดอก แต่สำหรับผู้ที่เคยครอบครู สักยันต์ให้จุดธูป 16ดอก บอกกล่าวขอขมาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนโดยจะมีแผ่นให้สวดตาม ค่อนข้างยาวใช้เวลาพอสมควร
เริ่มปฏิบัติเหมือนทั่วๆไปคือนั่งสมาธิ เดินจงกลม ฝึกที่ลานกว้างๆ โดยนั่งสมาธิ 1ชั่วโมง เดินจงกลม 1ชั่วโมง แล้วพักทานอาหาร พักผ่อนตามอัธยาศัย รอการฝึกช่วงบ่าย ในช่วงบ่ายก็มาฝึกเช่นเดียวกัน นั่งสมาธิ 1ชั่วโมง เดินจงกลม 1ชั่วโมง แล้วพักเข้าห้องน้ำ ดื่มน้ำ และฝึกต่อนั่งสมาธิ 1ชั่วโมง เดินจงกลม 1ชั่วโมง โดยรอบสุดท้ายในการปฏิบัติจะให้ภาวนาเร็วๆ เพื่อให้ได้สมาธิสูงสุด(เราว่าเป็นกุศโลบาย เพราะเราจะสนใจคำภาวนาจนลืมเรื่องวอกแวกที่คิดโน้นคิดนี่ไปได้ชั่วขณะหนึ่งเลย) เมื่อผ่านการฝึกในรอบเช้าก็จะมีให้เลือกป้ายแขวนคอโดยเป็นเลขไม่ซ้ำกันเพื่อฝึกภาคกลางคืน เราก็แยกย้ายก็ไปพักผ่อนโดยผู้ปฏิบัติที่ไม่ได้รับศีล 8ก็สามารถท่านอาหารได้ โดยจะมีลูกชิ้นขายด้านนอกก็พออิ่มท้องไปได้บ้าง ทีนี้ต้องฝึกต่อช่วงกลางคืนหลังทำวัตรเย็น ซึ่งเรารู้ข้อมูลแล้วว่าต้องนั่งกับครูใหญ่ เราพาเพื่อนมา4 คนรวมเรา เป็นผู้ปฏิบัติใหม่ทั้งหมดแต่ไม่ได้เล่าให้เพื่อนฟังว่าฝึกกลางคืนต้องเจออะไรบ้าง
เริ่มฝึกกลางคืนก็จะมีพระ แม่ชี ผู้ปฏิบัติรุ่นพี่ไปส่ง เรียกว่านั่งมอ.(มอ.เปรียมเสมือนหมู่บ้าน) ซึ่งจะมีหลายมอ. ทางเข้าไม่มีไฟข้ามสะพานไปตามมอ.ที่เราเลือกตามป้ายแขวนคอมา ตอนนี้เพื่อนเราก็รู้แล้วว่าต้องนั่งกับครูใหญ่ ต่างพากันบ่นระงม ถึงตอนนี้ตกกระไดพลอยโจนแล้วก็ต้องนั่ง ในจินตนาการของเราคือ นั่งหน้าโลงห่างกัน 1ช่วงแขน เหมือนภาพในทีวีที่เห็นในป่าช้า แต่ยังพอเห็นเพื่อนๆกันได้ แต่พอเอาเข้าจริง มอ. แต่ละมอ.นี้แบ่งแยกกันห่างกันหลายเมตรเลย คนละเรื่องกับที่จินตนาการเลย แบ่งเป็นซอย ซอยนึงมี 2มอ.ต้องข้ามสะพานไป เราได้มอ.37 ตอนกลางคืนมีแม่ชีเดินไปส่ง มีไฟฉายกระบอกเดียว มืดมิดไม่เห็นทาง สายตามองต่ำไม่อยากเห็นอะไร รีบเดินให้ทันแม่ชี มองตามแสงไฟจากไฟฉาย อากาศเย็นของตอนกลางคืนปะทะผิวกาย เสียงจิ้งหรีดก็เริ่มร้อง เงียบสงัด วังเวงสิ้นดี พลางคิดในใจและโทษตัวเอง "มาทำอะไรที่นี่วะเนี่ย พาเพื่อนมาลำบาก ออกไปต้องโดนเพื่อนด่าแน่ๆ กลับเถอะ กลับได้ไหมวะ จะมาตามที่พี่เค้าแนะนำทำไมวะ ทำไมไม่ไปวัดที่เคยไปวะ" เสียงความคิดของตัวเองเริ่มทะเลาะและประท้วงกันเอง เดินมาเรื่อยๆจนถึงมอ.37 เราและเพื่อนๆ แยกย้ายไปคนละมอ. ห่างกันเยอะคนละซอยเลย ภาพแรกที่เห็นเป็นเหมือนบ้านสังกะสีเล็กๆเป็นสังกะสีสี่ด้าน ไม่มีประตูปิด มีใบกล้วยตกแต่งเป็นประตู ต้องถอดรองเท้าหน้ามอ. เพื่อให้เกียรติครูใหญ่ ตอนนั้นใจเต้นเร็ว รัว แรง มือสั่น ขาสั่น เหงื่อออกทุกส่วนของร่างกาย พอก้าวเข้าไปกลืนน้ำลายไม่ค่อยลงเลย เห็นโลงศพครูใหญ่หน้าด้านหนึ่งโลง ฝั่งซ้ายอีกสองโลง ฝั่งขวาอีกหนึ่งโลง(รู้ตอนเช้าว่าเป็นโลงเปล่า) และรูปหน้าศพที่แขวนอีกเป็นสิบ ตอนนั้นรู้ว่าต้องมาเรียนกับครูใหญ่4 ท่าน ตรงกลางเป็นเบาะนั่งและมีมุ้งกันแมลงคลุมนั่งสมาธิแบบพอดีตัว แม่ชีให้เราจุดธูป 1ดอก กล่าวคำขอขึ้นพระกรรมฐาน แล้วปักธูป จากนั้นแม่ชีก็นำมุ้งมาคลุมให้เราและให้เรานั่งหลับจากภาวนาว่า พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอ และแม่ชีบอกว่า ถ้านึกคำภาวนาไม่ออกให้ท่องคำว่าหนอคำเดียวได้เลย ข้อห้ามเด็ดขาดของการฝึกเลย คือห้ามลืมตา(คงกลัวเราจินตนาการ จิตแตกไปเอง) ห้ามสวดมนต์(ครูใหญ่บางคนอาจได้รับบาดเจ็บ หรือแห่มาฟังสวดมนต์ คิดเองค่ะ)ที่ห้ามออกจากมุ้งโดยที่แม่ชียังไม่มารับ(เพราะมืดและอันตรายมาก) และจะลืมตาได้เมื่อแม่ชีมารับโดยกล่วคำว่า "สาธุ" เรารับทราบและรีบหลับตาก่อนแม่ชีจะออกไป
Advertisement
Advertisement
ที่นี้แหละจินตนาการก็เริ่มทำงาน เราภาวนาตามที่ฝึกมา ท่องสลับหน้าหลังไม่รู้เรื่องแล้ว ตอนนั้นก็คิดว่า "ท่องดีๆเดี๋ยวครูใหญ่มาดุ" เลยท่องว่าหนอคำเดียว โดยตอนนั้นใจเต้นแรงดังมาก จนได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง แล้วตัวสั่น แขนสั่นแรงมาก เหงื่อออก มือเท้าเย็นเฉียบ สองมือประสานบีบกันแน่น ชีวิตนี้ไม่เคยสั่นแบบนี้มาก่อน หลับตาปี๋แบบไม่กลัวเป็นรอยเพราะตีนกา(กลัวตาจะลืม) ได้กลิ่นเนื้อที่กำลังย่อยสลายปะปนกับกลิ่นควันธูปจางๆ พอนั่งไปสักพักเสียงจิ้งหรีดก็มาร้องข้างในมอ. ทำเราสะดุ้งตกใจเข้าไปใหญ่ ตอนที่แม่ชีส่งบอกแค่ว่าห้ามลืมตา ห้ามสวดมนต์ ห้ามออกจากมุ้ง ไม่ได้บอกอย่าขยับ ไม่ได้บอกห้ามส่งเสียง เลยวางแผนกับตัวเอง(นิสัยไม่ดี) ว่า นั่งตั้ง 2ชั่วโมงถ้าไม่ไหวจะเอามือมาอุดหู โดยอุดก่อนข้างนึง และอีก 1ชั่วโมงจะอุดอีกข้างนึงและถ้าไม่ไหวจริงๆจะภาวนาออกเสียงกลบเกลื่อนความเงียบสงบ
Advertisement
Advertisement
นั่งตัวสั่นแต่สมาธิแน่นคือภาวนาหนอ ไม่กล้าคิดไปไหนเลยกลัวครูใหญ่ดุ ก็มีความคิดแวบมา "ครูใหญ่เค้าเป็นอะไรตาย แล้วก็ดึงสติตัวเอง ไม่คิดๆถ้าครูใหญ่มาตอบจะทำยังไง" เริ่มมีลมเย็นมาปะทะที่ต้นคอจากด้านหลังเป็นระยะ นั่งสั่นไปสักพักก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรน่ากลัว ก็สั่งให้ตัวเองกลัวอีก(กลัวครูใหญ่ดุ)
กลัวจนอยากอาราธนาคุณพระ อยากสวดมนต์(ข้อห้าม) นึกหน้าพระที่เคยเห็นตามหนังสือสวดมนต์ นึกถึงหลวงพ่อโตแต่เอ๊ะท่านมรณะแล้วถ้าท่านมาคงไม่ต่างจากครูใหญ่ อีกใจนึงคิดว่าท่านไม่ทำร้ายหรอก ก็เลยไม่สวดมนต์ขอนึกหน้าท่านก็พอ เป็นครั้งแรกที่นึกหน้าหลวงพ่อโตชัดแบบความละเอียด HD นึกภาพตามหนังสือออก นึกเห็นท่านเห็นแม้กระทั้งกลีบของจีวรการวางมือของท่าน นึกบอกท่านว่า "คุ้มครองลูกด้วย อย่าให้ใครรังแกลูกได้เลย ลูกกลัวแล้ว" อุ่นใจมาระดับหนึ่ง นั่งภาวนาไปสักพักก็หายสั่น แล้วในใจก็นึกพูดว่า "ครูใหญ่ท่านไม่ทำร้ายเราหรอก เรามานั่งสมาธิท่านก็ช่วยเราฝึก จะได้ก้าวหน้าในการนั่งสมาธิ ก้าวหน้าทางธรรมไม่มากก็น้อย" อีกใจก็นึกคำแม่ชีว่า ยิ่งกลัวยิ่งได้
ใช้กุศโลบายความกลัวเป็นอารมณ์ในการปฏิบัติ แล้วบอกกับตัวเองว่า อย่าเลิกกลัวเดี๋ยวครูใหญ่มา เท่านั้นแหละ นั่งสั่นต่อไปอีก ขณะนั่งก็ได้รู้ว่านั่งแบบนี้ไม่มีเวลาง่วงเลยค่ะ และไม่กล้าแม้แต่จะคิดใจลอยไปไหนนาน พอคิดต้องรีบดึงจิตกลับมานั่งสมาธิต่อ นั่งไปสักพักในใจรู้ว่าคงไม่มีอะไรมาหลอกหรือแกล้งหรอก ตอนนี้เรารู้สึกว่ามีคนยืนดูเราจากด้านหลัง เคยเป็นไหมคะ ความรู้สึกว่ามีคนมองเรา ทีนี้ก็กลัวขึ้นมาอีกตามที่ตกลงกับตัวเองเอามือซ้ายมาอุดหู(ไม่ควรทำตามค่ะ) เพราะจินตนาการว่ากลัวได้ยินเสียงโลง ต้องกันไว้ก่อน เมื่อเอามือซ้ายอุดหูแล้วก็เริ่มภาวนา หนอ ออกเสียง หนอ หนอ หนอ ๆ ไปเรื่อย ตอนนั้นกลัวแต่รู้สึกดีเพราะเราไม่เคยนั่งสมาธิแล้วจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวมาก่อน ต้นคอก็มีลมเย็นมาเรื่อยๆ(ตรงอื่นไม่เป็น) ก็ก้มหลังขดให้มากที่สุดเพื่อให้ไม่รู้สึกกับลมเย็นหลังต้นคอ นั่งภาวนาไปเรื่อยๆ คิดเอาเองว่าคง 1ชั่วโมงแล้วก็เอามือขวาอุดหู ภาวนาออกเสียงจนคอแห้งไม่มีน้ำลายแล้ว คำภาวนาก็เร็วขึ้นๆ ไปเองโดยไม่ได้บังคับ เวลาคิดเรื่องอื่นก็จะดึงจิตกลับมาได้อย่างไว ตอนนี้ท่าที่นั่งคือขาขัดสมาธิ มือสองข้างอุดหู และภาวนาออกเสียงหนอ หนอไปเรื่อยๆ นั่งแบบนี้เราจะได้ยินแต่เสียงของตัวเอง นั่งไปสักพักใหญ่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้า ก็หยุดภาวนาฟังเสียง ได้ยินคำกล่าว "สาธุ" เท่านั้นแหละโอ้โห โล่งมากอย่างบอกไม่ถูกเลย เดินออกมาหาเพื่อนรู้เลยว่าต้องโดนด่าแน่ๆ แต่ผิดคาดค่ะ เพื่อนเดินยิ้มออกมาบอกเราว่า
"ขอบคุณมากที่พามาฉันรู้สึกดีมากๆเลย"
ส่วนตัวเรารู้สึกโล่งมาก รู้สึกว่าเรานั่งสมาธิได้ไม่ง่วงเลยเหงื่อออกดีซะด้วย และนั่งได้โดยจิตไม่ออกไปคิดเรื่องอื่น นั่งได้ครบ 2ชั่วโมงได้แง่คิดว่าไม่มีใครหลอกเราได้เท่ากับตัวเราเอง
การนั่งสมาธิควรนั่งมือประสานกัน ขาขัดสมาธิลักษณะที่สบาย ไม่ควรออกเสียง และไม่ควรขยับร่างการ ควรนั่งด้วยความอดทนค่ะ (อย่าทำแบบเรานะ)
สุดท้ายนี้หลังจากปฏิบัติธรรมครั้งนั้น มานั่งสมาธิเองที่บ้านนั่งได้นิ่งกว่า นานกว่าเดิม และเพื่อนที่ไปด้วยกัน นอนปิดไฟได้แล้ว จากปกติต้องเปิดไฟนอนทั้งคืน
ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าควรฝึกที่นี่ค่ะ ความตายความไม่รักตัวเองไม่ได้เป็นที่สิ้นสุด แต่จะผูกจิตให้เศร้าไม่มีที่สิ้นสุดเพราะต้องตายซ้ำๆทุกวัน ทรมานมากนะคะ
เรามาที่นี่ได้เห็นถึงครูใหญ่แต่ละท่าน น่าสงสารมาก ไม่มีญาติมารับศพ เป็นร่างไร้วิญญาณรอคอยบุญกุศล พอพระอาจารย์ไปรับมาเป็นครูใหญ่ ท่านก็ได้รับบุญจากการสาธุการนั่งสมาธิของเรานี่แหละค่ะ
ความคิดเห็น