อื่นๆ
ชั้นห้าฉันทนาสยอง
วันสิ้นเดือน เสียงอึกทึกเซ็งแซ่ยังดังก้องอยู่ในโสตประสาทไม่จางหาย คนทำงานประจำอยู่ที่สินการ์เมนท์มายาวนานนับสิบปีอย่างงามนิจ จะค่อนข้างคุ้นชินกับเสียงเหล่านี้ แต่ความดีใจเมื่อแรกๆนั้นเวลานี้ได้จางหายจนกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้ว
งามนิจเดินหิ้วของกินเต็มมือกลับห้องพัก เธอย้ายเข้ามาเช่าอยู่ที่อพาร์ตเมนต์แห่งนี้เมื่อเกือบ 3 ปีที่แล้ว จนกลายเป็นคนเช่าอยู่ประจำคุ้นเคยกับเจ้าของหอพักเป็นอย่างดี บางครั้งเงินขาดมือเพราะต้องส่งกลับไปที่ต่างจังหวัดจนหมด ยังติดค้างผัดผ่อนได้
งามนิจอายุสามสิบต้นๆ รูปร่างท้วม ผิวขาว บุคลิกเป็นคนนิ่งๆ เธอมีครอบครัวแล้ว แต่ความรักดูไม่ราบรื่นสักเท่าไรนัก เธอจบปัญหาความรักด้วยการเลิกร้าง มีลูกสาววัย 7 ขวบฝากให้ยายเลี้ยงอยู่ที่ต่างจังหวัด
โลกในความเป็นจริงแล้วมักโหดร้ายเสมอ แต่งามนิจก็ผ่านความเจ็บปวดขมขื่นที่สุดมาแล้ว ดังนั้นในวัยสามสิบต้นๆของเธอจึงค่อนข้างเข้มแข็ง ไม่เฉพาะวันสิ้นเดือนหรอก วันไหนๆก็ไม่ได้มีความหมายสำหรับเธอมากนัก
Advertisement
Advertisement
ด้วยความที่เป็นคนนิ่งๆ ดังนั้นจึงไม่มีใครล่วงรู้ความในใจของงามนิจสักเท่าไหร่ มีเพียงเพื่อนสนิทบางคนเท่านั้นที่รู้ว่า จนป่านนี้งามนิจยังไม่สามารถสลัดผู้ชายคนหนึ่งไปจากใจได้ เขาเป็นชายหนุ่มรูปงามประจำอยู่ห้องแบบแพทเทิร์นของโรงงาน ผู้ชายผิวขาว ร่างสูงโปร่ง แต่งกายเรียบร้อยด้วยเสื้อแขนยาวพับแขน กางเกงสแลคขายาวมีรอยรีดจนเห็นกลีบโง้ง น้ำเสียงของเขาสุภาพอ่อนโยน ซึ่งเขามักถูกมองด้วยสายตามีความหมายจากสาวๆโรงงาน โดยเฉพาะน้องจูเนียร์เพิ่งเข้าทำงาน เขาคนนั้นชื่อ เอก หรือ พี่เอก ของน้องๆ
‘ทำไมแกไม่ไปทำงานโรงอื่นซะล่ะนิจ?’ เพื่อนๆเคยถามตั้งแต่ความสัมพันธ์ระหว่างงามนิจกับเอกขาดสะบั้น ไม่มีคำตอบใดๆจากงามนิจ เธอหายหน้าไปหลายเดือนขณะท้องเริ่มโตอุ้ยอ้าย เมื่อคลอดน้อง ร่างกายแข็งแรง งามนิจก็กลับมาทำงานอีกครั้ง สายตาที่มองสบไปยังหนุ่มเอกนั้น แรกๆยังเต็มไปด้วยความวาดหวัง ตัดพ้อ แต่นานวันเข้าอารมณ์นั้นก็ค่อยๆเลือนหายแต่ยังไม่หมดลงเสียทีเดียว
Advertisement
Advertisement
ทำไมเธอถึงตัดสินใจย้อนกลับมาทำงานที่โรงงานนี้อีกครั้งหนึ่ง ทั้งๆที่ต้องมาเห็นชายหนุ่มผู้เป็นพ่อของลูกสาวควงหญิงสาวไม่ซ้ำหน้า คำตอบอันแท้จริงเดาได้ไม่ยาก งามนิจอาจจะยังรักเอกอยู่ มันคือความบริสุทธิ์ความจริงใจที่ผู้หญิงคนหนึ่งมี ดังนั้น สำหรับงามนิจแล้ว วันสิ้นเดือนที่ทุกคนกำลังมีความสุข ไม่ได้มีความหมายสำหรับเธอมากนัก หญิงสาวหิ้วของกินสำหรับตัวคนเดียวเดินกลับห้องพัก ความเหงาอาจจะมีอยู่บ้าง แต่มันก็เริ่มเลือนหายไปตามกาลเวลา เพราะงานที่เธอทุ่มเททำเป็นงานเหมา เธอต้องการเก็บเงินให้ได้มากที่สุดเพื่ออีกหนึ่งชีวิตที่เป็นสายเลือดของเธอ
อพาร์ตเมนต์แห่งนี้ค่าเช่าไม่ค่อยแพงนัก เมื่อเปรียบเทียบกับหอพักละแวกเดียวกัน อาจเป็นเพราะอยู่ค่อนข้างลึกจากปากซอย ต้องขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างเข้ามาหรือขี่รถเข้ามาเองสำหรับคนมีรถ จึงมีส่วนทำให้ค่าเช่าถูกลงบ้าง ซึ่งก็เหมาะสำหรับสาวโรงงาน โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเข้าทำงานไม่นานนัก
Advertisement
Advertisement
งามนิจอาศัยอยู่เพียงลำพังจริงๆ ยอมเสียค่าเช่าเพียงคนเดียว เพราะอยากได้ห้องนอนสำหรับพักผ่อนในยามที่เหน็ดเหนื่อยมาจากโรงงาน วันนี้...สำหรับคนอื่นคงเป็นวันพิเศษจริงๆ แต่กับงามนิจคงเป็นอีกวันหนึ่งที่...มาถึงห้อง อาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนจากชุดสาวโรงงานมาอยู่ในชุดเสื้อกางเกงนอน กินอาหารที่ซื้อหิ้วติดมือมาจากปากซอย เปิดทีวีดูละครหลังข่าว คิดอยากโทร.หาลูกสาว แต่คงจะดึกเกินไป ป่านนี้ยายคงพาเข้านอนไปแล้ว
หญิงสาวอมยิ้มเมื่อนึกถึงใบหน้าของสาวน้อยเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง มีแต่คนพูดว่าหนูน้อยไม่ได้เหมือนเธอแม้แต่นิดเดียว งามนิจรู้ดีว่าใบหน้าของลูกนั้นถอดแบบผู้เป็นพ่อมาราวกับพิมพ์เดียวกันก็มิปาน ทว่า...ระหว่างเธอกับเขาคงไม่มีวันหวนกลับมาคืนดีกันได้ดังเดิม เธอเก็บความเจ็บปวดเจ็บช้ำเอาไว้เพียงลำพัง น้ำตาที่เคยหลั่งรินนั้น มันไม่มีเหลืออีกแล้วสำหรับเขา จริงอยู่อาจมีคนตั้งข้อสังเกตว่าการที่เธอกลับเข้ามาทำโรงงานเดิม เพราะยังรักเขาอยู่ ทว่าในความเป็นจริง เขาไม่มีความหมายสำหรับเธอแม้แต่นิดเดียว
การย้อนกลับเข้ามาทำงานที่เดิม เป็นเพียงความเคยชินกับสถานที่ทำงานเก่า อีกอย่าง เพื่อนๆส่วนใหญ่ก็อยู่ที่นี่ งามนิจจึงเลือกที่จะกลับมาที่เดิม
‘นิจ มีคนสนใจแกอยู่น้า ฉันว่าแกเลิกคิดถึงอีตาเอกได้แล้วนะ เปิดใจยอมรับคนใหม่เข้ามาบ้าง แกจะได้ไม่เหงา’
เพื่อนร่วมงานบางคนกระซิบบอก งามนิจเองก็รู้ด้วยสัญชาตญาณว่ามีสายตาของหนุ่มใหญ่บางคนมองเธออย่างมีความหมาย เธอเองไม่ได้ปิดกั้น ทว่า...ความรู้สึกบอกเองว่าอย่าเพิ่งหาเรื่องเดือดร้อนดีกว่า เวลานี้เธอมีความสุขดี
ความรักในความหมายของงามนิจอาจเปลี่ยนไปจริงๆ คือจากที่ต้องรักผู้ชาย กลายเป็นรักลูก นั่นก็เป็นความรักเหมือนกัน หญิงสาวจึงไม่ได้ให้คำตอบกับเพื่อนผู้แสนดีว่าอย่างไร จนในที่สุดผู้อาสาเป็นแม่สื่อก็ค่อยๆถอยห่างเมื่อรู้ว่าเธอไม่ยอมให้ความสนใจใครเป็นพิเศษ
ชีวิตคนทำงานโรงงานคงไม่แตกต่างกันมากนัก มีความสุขจากเงินเดือนออกเพียงไม่กี่วันก็เข้าสู่ภาวะเงินฝืด อาหารการกินที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ต้นเดือนนั้นลดเหลือเพียงข้าวสวยกับแกงถุง จนในที่สุดหลายคนเริ่มเงินขาดมือ งามนิจนั้นทำงานมานาน เรื่องแบบนี้เธอค่อนข้างระวัง ต้นเดือน กลางเดือนและปลายเดือนของเธอค่อนข้างราบเรียบ
งามนิจจัดการส่งเงินกลับไปให้แม่ทางบ้าน และเงินเก็บอีกส่วนหนึ่งเก็บเข้าบัญชีของตัวเองเรียบร้อยแล้ว เหลือเงินติดตัวแค่พอสำหรับค่าใช้จ่ายในแต่ละวันจนกว่าจะถึงสิ้นเดือน
มีหลายคนแวะเวียนเข้ามาหยิบยืมเงินจากเธอ ส่วนใหญ่งามนิจเลือกให้เฉพาะคนที่เดือดร้อนจริงๆ และให้ได้ครั้งละเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อให้ไปแล้ว งามนิจมักจะทำใจล่วงหน้าว่าไม่มีวันได้คืนแน่
การทุ่มใจให้กับงานทำให้งามนิจสามารถรักษาบาดแผลหัวใจของตัวเองจนสามารถกลับคืนสู่สภาพปกติหรืออาจจะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะมีภูมิคุ้มกันที่ยอดเยี่ยม จนกระทั่งสายตาของเธอไม่เคยเหลือบแลมองไปยังอดีตชายหนุ่มของเธอคนนั้นอีกเลย ถ้าหาก...วันหนึ่งเขาไม่ดักรอพบเธอในช่วงค่ำหลังเลิกงาน
“เดี๋ยวนี้เนื้อหอมนักนะ นิจ”
มันคือถ้อยคำทักทายหรือคำเสียดสีก็ได้ งามนิจมองหน้าอดีตคนรัก เพิ่งสังเกตว่าใบหน้าของเขาที่ดูหล่อเหลาภายใต้บุคลิกสุภาพอ่อนโยนนั้น มีร่องรอยของกาลเวลาประทับอยู่อย่างชัดเจน เขาดูแก่กว่าเดิมมาก แววตาอบอุ่นบัดนี้ดูกร้าวกระด้าง ซึ่งนั่นก็เป็นบุคลิกอันแท้จริงของเขา
ผู้ชายคนนี้ไม่ได้มีความเป็นสุภาพบุรุษแม้แต่นิดเดียว เขาคือซาตานต่างหาก
“หลีกไปค่ะ ฉันจะกลับห้อง”
“ผมจะไปส่ง”
เขาแสดงอำนาจบาตรใหญ่
สายตาของงามนิจมองผู้ชายตรงหน้าราวกับเขาเป็นเพียงอากาศธาตุ เธอไม่ได้คิดเคียดแค้นโกรธเคืองใดๆเขา การกระทำทั้งหมดในอดีตของเขา เธอให้อภัยหมดแล้ว เพื่อไม่ให้มีการจองเวรจองกรรมอันจะทำให้ติดพันไปถึงอนาคตชาติ
“ขอบคุณค่ะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” งามนิจตอบน้ำเสียงสุภาพ “ฉันกลับเองได้ค่ะ”
เกือบจะหลุดถ้อยคำตัดพ้อ น้อยเนื้อต่ำใจออกมาแล้ว แต่เธอกล้ำกลืนความรู้สึกเช่นนั้นหายไปลงท้องได้ทั้งหมด
“งามนิจ” เขาคว้าข้อมือของเธอ
หญิงสาวตกใจ ขยับปากจะเอะอะก็ถูกเขากระชากเข้าหา ตะปบปากของเธอเอาไว้
“เงียบ ขืนคุณแหกปาก จะหาว่าผมไม่เตือน”
งามนิจพยักหน้ายอมจำนน น้ำตาเอ่อด้วยความคับแค้นที่ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้มากไปกว่านี้
“คุณต้องการอะไรกันแน่?” หญิงสาวถามเมื่อเขาปล่อยให้เป็นอิสระ
“ผมอยากขอคืนดีกับคุณ”
“....”
เพราะอะไรกันนะ เขาถึงได้หลุดคำพูดแบบนี้ออกมาในช่วงเวลาที่เธอไม่ต้องการ เขาควรจะเข้ามาเร็วกว่านี้ ในขณะที่เธอกำลังอ่อนแอ ต้องการกำลังใจ เวลานั้นเพียงแค่เขาหลุดปาก งามนิจก็พร้อมจะโผเข้าสู่อ้อมกอดของเขาอย่างง่ายดาย ไม่ใช่วันนี้ วันที่เธอเข้มแข็งสามารถยืนหยัดอยู่ได้ตามลำพัง ยิ่งเขาพูด งามนิจยิ่งมองเห็นความบัดซบของอดีตคนรัก
“ปล่อยฉันเถอะค่ะ”
“งามนิจ ผมคิดถึงคุณ คิดถึงลูกของเรา”
“ไม่มีลูกของคุณ”
น้ำเสียงของงามนิจกร้าวขึ้น เช่นเดียวกับประกายตา
“คุณหมายความว่ายังไงที่ว่าไม่ใช่ลูกผม?”
“เพราะพ่อของมันตายไปนานแล้ว” งามนิจตอบ
“ไม่จริง” หนุ่มใหญ่เอกบีบข้อมือของงามนิจจนเธอหลุดปากร้องออกมา “คุณกำลังโกหกผมใช่มั้ยนิจ เพราะคุณกำลังมีคนใหม่”
“แล้วแต่คุณจะคิดก็แล้วกัน”
“ผมไม่ยอม”
ความเด็ดเดี่ยวของงามนิจมีค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงไม่มีถ้อยคำใดที่หลุดออกมาจากปากของเธออันจะสื่อความหมายถึงว่าเธอมีเยื่อใยหลงเหลือ เมื่อไม่มีเยื่อใยมันจึงเหลือเพียงความเย็นชา ไม่ว่าจะถูกอ้อนวอนด้วยถ้อยคำแสนดีเพียงใดก็ตาม
ในที่สุด มีใครคนหนึ่งทนเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวต่อไปไม่ไหว ได้แสดงตัวออกมาเพื่อปกป้องงามนิจ เขาเป็นผู้ชายที่แอบมองงามนิจนับตั้งแต่เธอย้อนกลับมาทำงานอีกครั้งหนึ่งนั่นเอง
“ปล่อยนิจได้แล้วพี่เอก” ผู้ชายคนนั้นอายุน้อยกว่าเอก เขาจึงเรียกฝ่ายตรงข้ามอย่างให้เกียรติ
“แก” เอกกลายเป็นหมาบ้ากัดไม่เลือก “แกใช่มั้ยที่คิดจะแย่งเมียกู”
“พูดจาอะไรให้ระวังปากบ้างสิครับพี่ อย่างน้อยๆพี่นิจก็เคยเป็นแฟนของพี่”
“มันเป็นเมียกู กูจะพูดยังงี้มึงจะทำอะไรกู?”
ความอดทนของคนเราย่อมมีจำกัด เช่นเดียวกับหนุ่มรุ่นน้องคนนั้น เมื่อถูกท้าทาย ประกอบกับได้เห็นเหตุการณ์ที่งามนิจถูกข่มเหงตั้งแต่แรก ความอดทนที่มีอยู่จึงขาดสะบั้นอย่างรวดเร็ว ไม่ทันขาดคำของเอกเสียด้วยซ้ำ กำปั้นไร้รูก็กระแทกเข้าครึ่งปากครึ่งจมูกของเอก และมีตามซ้ำอีกหลายหมัดจนร่างของหนุ่มใหญ่รูปหล่อหงายหลังก้นจ้ำเบ้า
“จำใส่หัวเอาไว้เลยว่าถ้าผมเห็นพี่รังแกพี่นิจอีก ผมจะไม่อดทนดูอย่างวันนี้”
วูบหนึ่ง งามนิจรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นตัวปัญหาให้กับชายหนุ่มรุ่นน้อง แต่ลึกๆยังอดรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด ในชีวิตของเธอ หากมีชายหนุ่มพร้อมจะปกป้องเธอเช่นนี้คงจะดีอยู่ไม่น้อย ทว่าหญิงสาวรีบสลัดความคิดดังกล่าวทิ้งอย่างรวดเร็ว มันถึงเวลาแล้วที่ต้องตัดสินใจเดินออกจากโรงงานแห่งนี้ เพื่อไม่ให้มีปัญหาลุกลามบานปลาย
“พี่ขอโทษนะ” เธอกล่าวกับหนุ่มรุ่นน้อง “ต่อไปเธอต้องระวังตัว เพราะเอกเค้าค่อนข้างพาลเอาเรื่องอยู่นะ”
“ผมไม่กลัวหรอกครับ”
ยิ่งได้ยินคำพูดยืนยันหนักแน่นจากชายหนุ่มรุ่นน้อง งามนิจก็ยิ่งรู้สึกว่า มันถึงเวลาที่ต้องไปจากที่นี่แล้วจริงๆ รอเพียงสิ้นเดือนเท่านั้น เธอจึงเตรียมการสำหรับการย้ายออกจากอพาร์ตเมนต์และยังปลีกตัวไปสมัครงานทิ้งไว้ที่โรงงานการ์เมนท์อีกแห่ง ช่างเย็บจักรมืออาชีพอย่างเธอหางานไม่ยากนัก ทุกโรงอ้าแขนต้อนรับอยู่แล้ว
รอแค่วันสิ้นเดือนเท่านั้น... สิ้นเดือน...
งามนิจรับเงินเดือนงวดสุดท้ายโดยไม่ได้ปริปากบอกใครเลยว่าเธอกำลังจะไปจากโรงงานเก่า หญิงสาวหิ้วข้าวกล่องกลับห้องพัก เธอเหลียวมองหลัง เห็นเพื่อนสองสามคนโบกมือให้ เธอโบกมือตอบราวกับว่านั่นคือการโบกมือลาครั้งสุดท้าย
กลางดึกคืนนั้น มีเสียงกรีดร้องของสาวโรงงานที่เพิ่งกลับจากงานเลี้ยงกำลังกลับเข้ามาในอพาร์ตเมนต์ เพราะเห็นร่างของงามนิจหล่นลงมาจากชั้นห้าของอพาร์ตเมนต์ มันสมองแตกกระจายอย่างสยดสยอง
ไม่มีใครปักใจเชื่อว่างามนิจจะฆ่าตัวตาย ตำรวจเองก็ไม่ปักใจเชื่อ และเมื่อนำตัวนายเอกไปสอบปากคำ เขาก็รับสารภาพด้วยยอมจำนนต่อหลักฐานซึ่งก็คือร่องรอยขีดข่วนตามตัว คืนนั้นเขาตั้งใจจะใช้กำลังกับงามนิจเพื่อขอคืนดี แต่เธอไม่ยินยอม เขาจึงพลั้งมือ...
วันดีคืนดี ยังมีคนเห็นงามนิจยืนอยู่ที่ชั้นห้า แล้วร่างนั้นก็ทิ้งดิ่งลงสู่พื้นครั้งแล้วครั้งเล่า!
ขอบคุณรูปภาพ https://freerangestock.com/photos/2728/bloody-feet.html
ความคิดเห็น