อื่นๆ

ผีหลอนวิญญาณ

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ผีหลอนวิญญาณ

อ.อเวจี

ภาพโดย Gerd Altmann จาก Pixabay


สิทธิ์ เนื่องณรงค์ เล่าให้ฟังเมื่อผมกลับมาถึงบ้านเกิดแล้วพบว่า ผู้คนในหมู่บ้านโดยเฉพาะพวกที่ผมคุ้นเคย หายหน้าไปจนเกือบหมด

“ที่นี่ไม่เหมือนเดิมแล้ว” สิทธิ์ว่าน้ำเสียงเศร้า ๆ แววตาวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“ทำไมล่ะ” ผมถามอย่างแปลกใจ ความจริงเริ่มพบเห็นบรรยากาศหม่นเศร้าตั้งแต่แรกเริ่มเข้ามาถึงหมู่บ้านแล้วละ แต่ยังหาเหตุผลมาอธิบายถึงความรู้สึกดังกล่าวไม่ได้

ตอนแรกยังคิดเพียงแค่ว่า ผมจากหมู่บ้านนานเกินไป ผมเคยเป็นเด็ก เรียนหนังสือ วิ่งเล่น มีเพื่อน ๆ หลายคนที่เกิดอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันไม่น้อยกว่า 5 คน เมื่อโตขึ้น ต่างแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง อาจเป็นเพราะความกันดาน ไกลปืนเที่ยง ไม่มีความเจริญอะไร วิธีการเดียวที่จะทำให้ตัวเองสามารถเจริญก้าวหน้าได้ก็คือการไปอยู่ต่างถิ่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะพบกับความสำเร็จเสียทุกคน มีล้มเหลว ผิดหวังก็ไม่น้อย ไม่เพียงรุ่นผมรุ่นเดียวหรอก รุ่นต่อ ๆ มา หรือรุ่นก่อนหน้าผมก็เช่นกัน

Advertisement

Advertisement

หมู่บ้านที่เราเกิด จึงเป็นเพียงถิ่นฐานฟูมฟักความเป็นเด็กน้อยรอเวลาโบยบินเท่านั้น

“เริ่มมีคนไหลตาย”

“ไหลตาย” ผมทวนคำ และพอจะเข้าใจได้ไม่ยากหรอกว่าสาเหตุของการไหลตายเกิดจากอะไร มันไม่ใช่เรื่องที่เร้นลับเกินกว่าจะอธิบายได้หรอก ด้วยว่าที่นี่เป็นแหล่งทำพืชไร่ที่ใช่สารพิษมากมายเหลือเกิน ความแห้งแล้งในอดีตเป็นอย่างไรปัจจุบันก็ยังคงเป็นอย่างนั้น แต่มันก็เหมาะที่สุดสำหรับการปลูกพืชไร่ จึงทำให้หมู่บ้านที่เคยปราศจากความเจริญอย่างสิ้นเชิงเปลี่ยนไป

ภาพโดย WikimediaImages จาก Pixabay

ภาพโดย WikimediaImages จาก Pixabay

มีถนนหนทาง ไฟฟ้า ประปาทันสมัย สัญญาณโทรศัพท์และสายอินเทอร์เน็ตเข้ามาเหมือนเช่นพื้นที่อื่น ๆ ผิดเพียงแค่หมู่บ้านนี้ควรจะคึกคักตามเทคโนโลยี กลับกลายเป็นหมู่บ้านเงียบเหงา หม่นเศร้าจนสามารถสัมผัสได้

“มันคงบังเอิญหรือเปล่า”

“ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เรื่องแบบนี้มันจะบังเอิญได้ยังไง”

Advertisement

Advertisement

เพื่อนเสียงเข้มขึ้นจนผมต้องเงียบเสียงลง หลังจากนั้นจึงต้องเปลี่ยนเรื่องคุย ด้วยว่าท่าทางของเพื่อนเองก็ไม่สู้ดีเหมือนกัน

กำลังจะสิ้นแสงของอีกวัน ค่ำคืนกำลังจะมาเยือนพร้อมกับอุณหภูมิเย็นลง มันเงียบสงัดเสียราวกับว่าเป็นหมู่บ้านกันดารไกลปืนเที่ยงเมื่อหลายสิบปีก่อนนั่นเอง

ผมลาเพื่อน กลับบ้านของตัวเอง

บ้านของผมอยู่ห่างออกไปนอกเขตชุมชน พื้นที่ยังรกร้างว่างเปล่ากลายเป็นป่าละเมาะ เคยมีคนขอเช่าเพื่อปลูกพืชไร่เหมือนกัน แต่ผมปฏิเสธ ต้องการอนุรักษ์เอาไว้และตั้งใจเอาไว้ว่าสักวันเมื่อผมกลับมาอยู่บ้าน ผมจะปลูกป่า เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับแผ่นดินอะไรทำนองนั้น แม้ว่ายังไม่ได้ปลูกอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่การที่ไม่มีใครเข้ามาบุกรุก มันก็เริ่มกลายเป็นป่ารกชัฏขึ้นเอง

รถของผมจอดทิ้งอยู่หน้าบ้านไม้สองชั้นหลังใหญ่ มันถูกสร้างทิ้งเอาไว้นานแล้วละ ผมเห็นตั้งแต่พ่อกับแม่ยังมีชีวิตอยู่

Advertisement

Advertisement

สร้างด้วยไม้ที่พ่อไปรับจ้างมา ค่อย ๆสะสมเสาทีละต้น

ตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้ว ผมเองก็อยู่ในสถานะที่ยังกลับมาไม่ได้ด้วยเหตุผลบางประการ อย่างหนึ่งก็คือ ครอบครัวไม่ยอมมา

ผมมีเมียแล้ว ฐานะทางบ้านของเมียจัดว่าดี ไม่มีใครอยู่ดูแลพ่อแม่ของเธอ นี่ถ้าหากไม่ติดที่เรามีลูกด้วยกัน ผมคงตัดใจแล้ว

แต่จะคิดไปให้กลุ้มใจทำไม เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ผมรักเธอ รักลูก ที่จะตัดใจกลับมาอยู่บ้านเกิดของตัวเองโดยทิ้งลูกเมียมานั้นก็ยากที่จะทำได้

ผมนึกถึงสีหน้าท่าทางของสิทธิ์ เนื่องณรงค์เพื่อนของผม ท่าทางของเขาหวาดกลัวจนเกินไป หรือว่าเขามีอาการทางประสาทกันแน่นะ

จริงสิ เท่าที่รู้มา สิทธิ์เคยเข้ารับการรักษาอาการทางประสาทมาแล้ว เพราะฉะนั้นผมไม่ควรจะเชื่อคำพูดของเพื่อนมากจนเกินไป

ผมถอนใจยาว เลิกคิดถึงเรื่องแปลกประหลาด เพราะมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่ผมคิด ผมห่างเหินที่นี่ไปนานเกินไปมากกว่า

เมื่อเลิกคิดได้ ผมก็ก้าวขึ้นบ้าน สภาพของบ้านไม้ที่ไม่มีคนอยู่อาศัย มันทรุดโทรมอย่างเห็นได้ชัด เป็นที่สิงสถิตและรุกรานของพวกปลวกและแมลง

ผมพบว่าชั้นบนของบ้านนั้น มีต่อไปทำรังขนาดใหญ่อยู่ด้วย

ผมมีเวลาไม่มาก เห็นทีต้องเร่งทำความสะอาด พอเป็นที่หลับนอนในค่ำวันนี้ก่อน ผมเลือกทำความสะอาดใต้ถุน มีเสื่อน้ำมันกับเต็นท์นอนที่เตรียมมาอยู่แล้ว

ภาพโดย FelixMittermeier จาก Pixabay

ภาพโดยFelixMittermeier จาก Pixabay

เรื่องอื่น ๆ ค่อยจัดการทีหลัง

แต่ในระหว่างที่กำลังลงมือทำความสะอาดอยู่นั้น จู่ ๆ ผมก็นึกถึงสิทธิ์ขึ้นมาอีกครั้ง น่าแปลก ทำไมผมต้องพบสิทธิ์เป็นคนแรก และเป็นการพบอย่างที่เรียกว่าเป็นความบังเอิญเหลือเชื่อ ตอนที่ผมขับรถเข้ามาในหมู่บ้าน สิทธิ์โผล่ออกมาจากซอยพอดี

คิด ๆ ดูเหมือนกับจงใจหรือเปล่า

ผมรีบสลัดความสงสัยทิ้งไปอย่างรวดเร็ว คงไม่ได้เป็นอะไรแบบนั้นหรอกน่า

ผมทำงานแข่งกับความมืดที่กำลังคืบคลานเข้ามา เมื่อสิ้นแสงตะวัน ผมก็ยิ่งพบว่า บรรยากาศของหมู่บ้านเวลานี้ มันชวนให้วังเวงเสียจริง ๆ

นี่ขนาดว่าผมได้เตรียมการสำหรับการหลับนอนในคืนนี้เอาไว้แล้ว ก็ยังไม่วายฉุกละหุก

พรุ่งนี้ผมควรจะไปติดต่อกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อให้เขานำหม้อแปลงกลับมาติดตั้งให้อีกครั้ง ผมไม่ควรจะละเลยกับการเสียค่าไฟเหมือนเช่นที่ผ่าน ๆ มา

ผมเริ่มรู้สึกหนาว จนไม่คิดจะอาบน้ำอาบท่า แต่ก็เหนียวตัวและเหม็นกลิ่นเหงื่อเหลือทน

มีน้ำในโอ่งใบใหญ่ข้างบ้านพอให้ได้อาศัยอาบชั่วคราว

ผมเปลี่ยนมานุ่งผ้าขาวม้า เพื่อจะอาบน้ำ ภายใต้เงามืดของราตรีที่กำลังปกคลุมบรรยากาศ แทบจะไม่ได้ยินเสียงอะไร

ไม่มีเสียงยวดยานพาหนะ แม้แต่มอเตอร์ไซค์ซักคัน

จริงสิ ตั้งแต่ขับรถเข้ามาในหมู่บ้านแล้วละ ผมยังไม่เห็นยวดยานพาหนะสมัยใหม่ แม้แต่จักรยานซักคันขี่ผ่าน

มันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น

ผมไม่ได้หลุดเข้ามาอยู่อีกโลกหรอกใช่ไหม เพราะว่าที่นี่ไม่ถึงกับไร้ความเจริญนี่ เพราะถนนหนทาง ไฟฟ้า สายอินเทอร์เน็ต

เน็ตก็ยังขึ้นเป็น 4 จีเต็มสปีด ผมยังดูยูทูปได้สบาย ๆ

เงียบเสียจนผมรู้สึกกลัว ผมรีบอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ตอนแรกทำท่าจะมุดเข้าเต็นท์หลับเสียเลย เพราะนอกจากสิทธิ์แล้ว ผมไม่ได้คุ้นเคยกับใคร

แต่พอผลุบเข้าไปในเต็นท์ ผมตาค้างไม่มีทางที่จะหลับลงได้ในเวลาอันรวดเร็ว ผมรู้ดีว่าการนอนไม่หลับแต่ยังฝืนจะให้หลับเป็นอะไรที่ทรมาน

ผมควรลุกขึ้นแล้วออกไปหาสิทธิ์ดีหรือเปล่านะ ระยะทางไม่ได้ห่างกันเท่าไรนัก หากเดินเท้าก็สัก 10 นาทีได้ สิทธิ์อาจจะนอนหลับไปแล้วก็ได้ เพราะคนต่างจังหวัดส่วนใหญ่เข้านอนแต่หัวค่ำ มันไม่ได้มีสถานที่ท่องเที่ยวในยามราตรี ยกเว้นในเทศกาลงานวัดนาน ๆ จะมีสักครั้ง

น่าแปลก เวลานี้ทำไมผมไม่ได้นึกอยากจะโทรไปหาครอบครัวเลย ผมกับเมียไม่ได้มีปัญหาระหองระแหงอะไรกัน เราอยู่ด้วยกันมานานจนมีลูก ภาระทั้งหมดที่มีอยู่ก็คือลูกนั่นเอง

ผมอดนึกย้อนหลังไปไม่ได้ เมื่อครั้งที่ผมเจอกับเมีย เธอกับผมทำงานใกล้ ๆ กัน ตำแหน่งหน้าที่ของเธอดีกว่าผม เธอเรียนจบมัธยมปลายแล้วพยายามทำงานส่งเสียตัวเองเรียนต่อจนจบรามคำแหง สามารถสอบเข้าไปทำงานในบริษัทของต่างชาติ

ผมจบแค่มัธยมต้น และไม่ได้คิดจะเรียนต่อในระดับสูงขึ้นไปอีกแต่อย่างใด  งานของผมจึงเป็นงานใช้แรงและทักษะความสามารถพิเศษบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องของช่างเครื่อง

ผมเจอเธอหลายครั้ง ตั้งแต่เธอยังมีแฟนอยู่ ผมรู้จักกับเธอตอนที่เธอเดินเพียงลำพังไม่มีชายหนุ่มเทียวรับเทียวส่ง หลังจากนั้นจึงได้ทำความรู้จัก พัฒนาขึ้นกลายเป็        นแฟน แต่งงานกันอย่างถูกต้องตามประเพณี โดยที่ทุกอย่างเธอเป็นคนจัดการทั้งสิ้น

หลังแต่งงาน ผมเข้าไปอยู่ในบ้านที่เธอมีชื่อเป็นเจ้าของ โดยที่ผมเป็นเพียงแค่ช่วยผ่อนเธอเท่านั้น เรามีลูกด้วยกัน

เธอเหนือกว่าผมทุกอย่างตั้งแต่แรก ความคิดของผมในครั้งแรก ๆ เคยคิดว่าสักวันหนึ่งเมื่อทำงานได้เงินสักก้อน ผมอาจจะกลับมาอยู่บ้านเกิดของตัวเองก็กลายเป็นเพียงความฝัน จนกระทั่งสิ้นพ่อแม่ไปแล้ว ผมยังไม่เคยทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริง นาน ๆ ครั้งกว่าจะหาโอกาสได้

ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเมียจะว่าราบรื่นก็ไม่ใช่ มีบางครั้งบางเวลาเหมือนกันที่ผมรู้สึกเหมือนถูกข่ม ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้วอาจไม่เป็นเช่นนั้น ผมคงคิดมากไปเองก็ได้ เมียของผมไม่ใช่คนพร่ำบ่นอะไรหลาย ๆครั้ง เธอเด็ดขาดมากกว่าผมอีกนั่นแหละ คำพูดของเธอ คำไหนก็คือคำนั้น

เธอเคยมาบ้านหลังนี้เพียงครั้งเดียวคืองานศพของพ่อแม่ผม

เธอว่าเธอไม่เหมาะกับชีวิตในต่างจังหวัด เพราะงานของเธออยู่ในเมือง มีการติดต่อสื่อสารกับต่างชาติบ้าง

ดังนั้นวิถีชีวิตที่คิดว่าไม่มีปัญหา มีแต่ความราบรื่น แท้จริงแล้วซุกซ่อนปัญหาบางอย่างเอาไว้ใต้พรมอย่างเห็นได้ชัด

ผมนอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ตาก็ยิ่งค้างเติ่งไม่มีทางจะหลับลงได้ง่าย ๆ แม้จะเหนื่อยกับการขับรถมาทั้งวันก็ตาม บ้านและที่ดินของผมตรงนี้มีรวม ๆ เกือบไร่ ด้านหลังกลายเป็นป่าละเมาะขึ้นเอง เมื่อไม่มีใครยุ่ง

ผมอยากจะกลับมาตั้งนาน เพื่อจะปรับปรุงและปลูกนั่นปลูกนี่เอาไว้ อาจจะไม่ได้กลับมาอยู่ถาวร แค่กลับมาพักผ่อนสักปีละครั้งสองครั้งก็ได้

ผมเคยหาเหตุผลเพื่อจะกลับมา ขณะที่ภาระหน้าที่ของตัวเองไม่เคยจบสิ้น ลูกยังต้องไปโรงเรียน เมียทำงานหนักมากกว่าเดิมตามตำแหน่งหน้าที่ของเธอ และเธอเริ่มไม่ได้กลับไปนอนบ้าน เมื่อต้องออกเดินไปทางไปกับพวกฝ่ายบริหาร

ผมรับหน้าที่เป็นเหมือนแม่บ้านแทน ทำหน้าที่แทนเมียทุกอย่างเวลาเธอไม่อยู่ เพราะฉะนั้นหลายปีที่ผ่านมาผมจึงจำเป็นต้องปล่อยทิ้งที่นี่ ทำราวกับว่าเหมือนไม่เคยมี ลึก ๆ ผมยังฝัน และเคยมีผู้พยายามโทรหาเพื่อติดต่อเช่าที่ดิน จริง ๆ เขาต้องการจะซื้อนั่นแหละ แต่ก็ถูกผมปฏิเสธ

ผมถอนใจ...

นี่ผมคงต้องนอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอีกนานแค่ไหน จึงจะสามารถข่มตาให้หลับลงได้

แต่แล้ว...เสียงหนึ่งดังขึ้น ผมพับร่างลุกนั่ง  จำเสียงเรียกนั่นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นใคร

สิทธิ์ เนื่องณรงค์เพื่อนของผม

ผมรีบขานรับ ตลบมุ้งออกไปพร้อมกับเปิดไฟฉายท่อนใหญ่ ซึ่งสามารถทำเป็นไฟส่องสว่างสำหรับใช้ในเวลากลางคืนได้เกือบทั้งคืนนั่นแหละ

ฝีเท้าของสิทธิ์เดินตรงเข้ามา

“มารบกวนไหมเพื่อน” สิทธิ์ถามมาแต่ไกล

“รบกวนอะไรกันล่ะ กำลังนอนกระสับกระส่ายคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย” ผมตอบ

“นอนไม่หลับรึ”

“คงงั้น แปลกที่มั้ง”

“รู้อยู่ว่าน่าจะนอนไม่หลับ ก็เลยตัดสินใจเดินมาหา”

“ดีแล้ว จะได้คุยกัน”

ผมหักฟืนเอาไว้อีกมุม ตั้งใจเอาไว้ว่าจะก่อผิงตอนเช้าตรู่ เพราะค่อนข้างเชื่อว่าอุณหภูมิลดเย็นลงแบบนี้ ตอนเข้าคงหนาวแน่ ผมไม่เคยผิงไฟมานานมากแล้ว จึงวาดฝันไปไกล เมื่อเพื่อนมาคุยด้วย จึงถือโอกาสก่อไฟเสียเลย

ผมมีกาแฟกับกาน้ำร้อนเตรียมมาพร้อม การเดินทางกลับมายังบ้านเกิดของผมเที่ยวนี้เตรียมอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือมาพร้อม

ภาพโดย Eliane Meyer จาก Pixabay ภาพโดยEliane Meyer จาก Pixabay

ไฟสว่างโพลง น้ำร้อนในกาเดือดปุด ผมกับสิทธิ์นั่งคุยกับไปเรื่อยเปื่อย ส่วนใหญ่เป็นอดีตของเราสองคนนั่นแหละ จนกระทั่งเรื่อยมาถึงกรณีการไหลตายของชาวบ้าน ซึ่งทำให้หมู่บ้านดูเงียบเหงาวังเวง และโดยเฉพาะคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาของผมล้วนแล้วแต่ไหลตายไปแล้วทั้งสิ้น

“ตอนผมขับรถมา เห็นแต่แปลงมันสำปะหลัง ตามท้องนาที่เคยปลูกข้าวก็พากันปลูกมัน”

“ใช่” สิทธิ์ตอบ “มีอ้อยด้วย เห็นไหมล่ะ ขึ้นเต็มพื้นที่นาไปหมด”

“ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมจึงไหลตาย เพราะเล่นสารเคมีกันมากขึ้นนั่นแหละ”

“คงมีส่วน”

“ไม่ใช่มีส่วนหรอกว่ะสิทธิ์ นั่นน่ะสาเหตุหลักเลยละ”

สิทธิ์นิ่งเงียบไป บทจะนิ่ง สิทธิ์จะปล่อยให้ผมเป็นคนพูดอยู่คนเดียว

ดึกมากแล้ว หนังตาของผมเริ่มหนัก และเริ่มหาวบ้างแล้ว กองไฟค่อย ๆ มอดลง สิทธิ์ขยับตัวทำท่าเหมือนจะลุกขึ้น แต่แล้วกลับเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา เป็นประโยคที่ทำเอาผมขนลุกซู่

“ดีใจนะที่นายมา นึกว่าชาตินี้จะไม่ได้มาเจอกันอีกแล้ว”

“ดีใจเหมือนกันที่ได้เจอนาย”

อะไรไม่รู้ทำให้ผมยื่นมือไปข้างหน้า ส่งสัญญาณว่าเราควรจะสัมผัสมือแบบฝรั่งบ้าง สิทธิ์เข้าใจความหมาย เอื้อมมือมาจับ

ผมสะดุ้ง เพราะเพิ่งรู้ว่ามือของสิทธิ์เย็นเฉียบและแข็งกระด้างราวกับมือของคนตายไปแล้ว

สิทธิ์ปล่อยมือผม ขยับลุกขึ้นแล้วก้าวห่างออกไป โดยมีสายตาของผมมองตาม ผมได้ยินคำพูดต่อมาของสิทธิ์เต็มสองหู

“ความจริง เราตายไปแล้วเมื่ออาทิตย์ก่อน หวังว่านายคงไม่กลัวเรานะ ลาก่อนเพื่อน”

ตอนนี้เอง ผมจึงได้ยินเสียงหมาหอนรับเป็นทอด ๆ ชวนให้ขนลุกขนพองอย่างที่สุด แต่ว่าผมน่ะมันมาไกลเกินกว่าจะหวาดกลัวแล้วละ

สิทธิ์ เนื่องณรงค์จะรู้หรือเปล่านะว่า จริง ๆ แล้วผมมาไม่ถึงหมู่บ้าน รถยนต์ของผมประสานงากับรถบรรทุก ศพของผมยังโชกเลือด รอให้เมียของผมรับไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีต่อไป

ผมแค่อยากกลับมาบ้านเกิดเป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้นเอง!

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์