อื่นๆ

ฟ้าพิโรธ

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ฟ้าพิโรธ

ครืน น น...!

เสียงคำรามแว่วดังแต่ไกล  ถัดจากนั้นไม่นานนัก  ท้องฟ้าพลันมืดมิดด้วยปุยเมฆจับตัวเป็นกลุ่มก้อนหนาทึบ  ทว่า...บัดเดี๋ยวเดียว  เมฆดำพลันกระจัดกระจายด้วยอำนาจของสายวายุ  มันหอบเอาฝุ่นฟุ้งขึ้นไปในอากาศ  แล้วโถมเข้าทำลายสรรพสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า

ทิวแถวไม้เนื้ออ่อนยูคาลิปตัสเอนลู่ไปในทิศทางเดียวกัน  ทางมะพร้าวแห้งถูกแรงลมกระชากหลุดพร้อมกับลูกมะพร้าวแห้ง  ลำต้นที่เกิดมานานจนหยัดความสูงกินพื้นที่ว่างในอากาศ  เอียงวูบราวกับถูกโน้มดึงด้วยมือยักษ์

ซ่าาาา...า...า!

ฉับพลัน  เม็ดฝนก็กระหน่ำลงมาพร้อมกับพลังวายุอันเกรี้ยวกราด  ความรุนแรงช่างราวกับถูกอสูรร้ายปั้นน้ำให้เป็นก้อนขนาดใหญ่แล้วซัดลงมาจากท้องฟ้าเลยทีเดียว  ต้นไม้หักโค่น  หลังคาบ้านหลายหลังที่อยู่ในสภาพผุกร่อนปลิวหายวับไปกับตา

ครืน...น...น!

Advertisement

Advertisement

เปรี๊ยะ...เปรี้ยง ง ง!

อสุนีบาตวาบแปลบปลาบทั่วทั้งผืนฟ้า  โลกทั้งใบเหมือนตกอยู่ภายใต้มนตราแห่งความเกรี้ยวกราดของอสูรร้าย

ประมาณครึ่งชั่วโมงให้หลัง  มนตร์อสูรจึงสิ้นฤทธิ์  ทิ้งความหายนะไว้บนผืนโลก

ท้องฟ้าสว่าง  แดดอ่อนของตะวันจวนตกดินก่อให้เกิดสายรุ้งโค้งอยู่กลางฟ้า  ไม่นานนัก  ความมืดก็เข้ามาเยือน  วัวท้องแก่ตัวหนึ่งวิ่งกระเจิงมาทางศาลาสวดศพ  แล้วมันก็ไม่ยอมไปไหนอีก  จนตาสัปเหร่อเฒ่าต้องตัดสินใจผูกมันเอาไว้เพื่อรอเจ้าของ  หากยังไม่วายคิดว่า  พรุ่งนี้น่าจะมีเหล้าขาวสำหรับ ‘ถอน’ สักขวด  เจ้าของวัวคงไม่ใจจืดใจดำกับคนมีน้ำใจเช่นแก

คืนนี้  สัปเหร่อเฒ่ามีหน้าที่เฝ้าวัดตามลำพัง  เพราะหลวงพ่อปอนไปรับการอบรมพระสังฆาธิการในตัวจังหวัด  พรุ่งนี้ถึงจะกลับ

ลุงหอนจัดการเรื่องปากท้องของตัวเองอย่างง่ายๆ  คนอยู่วัดอย่างแก  ไม่เรื่องมากอยู่แล้ว  ใช้ชีวิตอย่างสมถะเหมือนพระ  อบายมุขก็ติดเหล้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น  เสร็จเรื่องปากท้องก็มืดตื๋อ...จนมองอะไรไม่เห็น

Advertisement

Advertisement

เปิดไฟที่ประตูทางเข้าวัดทิ้งเอาไว้เพียงหลอดเดียว   จากนั้น  ลุงหอนก็เข้าไปนอนที่หน้ากุฏิหลังใหญ่ของหลวงพ่อ

บรรยากาศของวัดยามนี้สงัดจนวังเวง  สายลมรำเพยทำให้อากาศที่เย็นอยู่แล้ว  สะท้านถึงใจ  ยิ่งดึก  หมาวัดที่มีอยู่เป็นฝูงก็พากันทำให้บรรยากาศชวนให้ขนลุกด้วยการเห่าหอน

แต่สัปเหร่อเฒ่าไม่ได้เอาใจใส่ในเมื่อทั้งชีวิตอยู่กับบรรดาภูตผีปีศาจอยู่แล้ว  หัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย  ส่งเสียงกรนคร็อกฟี่สนั่นกุฏิ  ผีเผอที่ไหนจะกล้ามาหลอก

ดึกสงัด  ดวงจันทร์เกือบเต็มดวงลอยอยู่กลางฟ้า  มันสว่างเย็นขนาดมองเห็นสิ่งต่างๆได้ชัดเจน  จึงไม่เป็นอุปสรรคสำหรับการย่ำเดินมาตามถนนของ...ทิดดอน–เจ้าของวัวท้องแก่  เขาออกตามหาวัวตั้งแต่หลังฝนตก  ทิดดอนกึ่งเดินกึ่งวิ่งราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยไปยังทุกทุ่งหญ้าที่เคยนำวัวไปล่ามให้กินหญ้า  ทุกทิศที่คาดว่าวัวจะไป  ทว่ายังไร้วี่แวว

Advertisement

Advertisement

วัวแค่ตัวเดียว  ราคาค่างวดอาจไม่มากมายนักสำหรับคนอื่น  แต่สำหรับทิดดอนคนยากไร้แล้ว  นี่คือสมบัติมีค่ามากที่สุดของเขา

ราคาวัวแค่ห้าพันกว่าบาท  ซึ่งเงินห้าพันกว่าบาทดังกล่าวก็มาจากการแบ่งสรรปันส่วนจากเงินกองทุนแสนแปดของหมู่บ้าน ให้ชาวบ้านกู้นำไปซื้อวัวมาเลี้ยง  โดยแบ่งชำระห้างวด  ห้าปี  ดอกเบี้ยถูกมาก

ชาวบ้านคนไหนก็อยากได้เงินกู้ดอกถูก  ทั้งชาวบ้านประเภทที่พอมีพอกินก็ยังไม่ยอมเสียสละแบ่งปันให้กับคนฐานะยากไร้  จะเอาให้ได้เหมือนๆกัน   คณะกรรมการหมู่บ้านที่มีผู้ใหญ่บ้านเป็นประธานต้องแก้ปัญหาด้วยการจับสลาก

ฟ้ามีตา...ทิดดอนจับสลากได้เงินกู้ดอกเบี้ยถูกดังกล่าว  นำมาซื้อ ‘อีแดง’ จากคนรู้จักกัน  และเพิ่งส่งเงินคืนให้กับคณะกรรมการหมู่บ้านได้แค่ 2 งวดเท่านั้น  งวดละพันกว่าบาท  เงินพันกว่าสำหรับคนอื่นอาจไม่มากมายนัก แต่ทิดดอนคนยากไร้  ต้องเที่ยวหยิบยืมนายทุนเอาไปใช้ก่อนทุกทีไป  เพราะไม่เคยเก็บเงินได้เป็นก้อนเลย

คนจนน่ะ  บริหารเงินไม่เป็นหรอก  คนที่บริหารเงินเป็นคือ  พวกที่ฐานะเดิมดีอยู่แล้ว

ทิดดอนต้องหาเงินต้นและดอกอันแสนแพงส่งให้กับนายทุนอีกทอดหนึ่ง  แต่ไม่ได้คิดให้ยุ่งสมองนัก  นอกจากเชื่อว่าการจับสลากได้เงินมาซื้ออีแดงเนี่ย  เป็น ‘โชคลาภ’ โดยแท้   พออีแดงตั้งท้องก็ถือว่าเป็น ‘กำไร’

คนมีวัวเลี้ยงแต่ตัวเดียวอย่างทิดดอน  จึงรู้สึกยินดีปรีดานัก  หน้าลงนาปีที่แล้ว  รับจ้างตัดหญ้าตามคันนาให้กับเพื่อนบ้าน  ได้ทั้งเงินค่าจ้าง  ได้ทั้งหญ้านำมาบำรุงบำเรออีแดงจนอ้วนท้วนสมบูรณ์  เคยมีพ่อค้ามาติดต่อขอซื้อให้ราคาสูงถึงแปดพันยังไม่ยอมขาย

แค่วาดฝันถึงวันที่อีแดงออกลูกออกหลาน  ทิดดอนสุขใจนัก  มีวัวสัก 10 กว่าตัว  ก็กลายเป็นเศรษฐีเงินแสนได้เหมือนกัน  รู้อยู่ว่า  กว่าจะถึงวันนั้น  คงอีกนานหลายปี  ทว่าขอให้คนยากไร้อย่างเขาได้ฝันได้จินตนาการถึงความสุขในอนาคตบ้างเถอะน่า

ขนาดอีแดงเพิ่งจะท้องเท่านั้น  ความคิดยังบรรเจิดถึงเพียงนี้  ไม่วายมีคนทำให้ฟุ้งซ่านหนักขึ้นไปอีกด้วยการแนะนำให้หาเมีย

“เอาอีแหลมซะเถอะ ทิดดอนเอ๊ย”

ลุงท้วยคนคุ้มเหนือเคยกระเซ้า

แต่ทำเอาทิดดอนหน้าหงิก  เพราะรู้ๆอยู่ว่า นางสาวแหลม นั่นน่ะ  ไม่เต็มบาท

ซึ่งขนาดคนไม่เต็มบาทก็ยังมีไอ้หนุ่มเอาไปนอน  ให้เงินบ้าง  ให้ข้าวบ้างไปตามเรื่อง  นางสาวแหลมคนไร้ญาติขาดมิตร  จึงกลายเป็นนางโลมราคาถูกของหมู่บ้านไปโดยปริยาย  หนุ่มโสดที่ยังหาเมียไม่ได้จึงมักถูกกระเซ้าให้เป็นคู่กับนางสาวแหลมเรื่อยไป  ทิดดอนก็ไม่อยู่ในข่ายยกเว้น

แต่คนที่เย้าทิดดอนกับนางสาวแหลมแล้วทิดดอนไม่โกรธนั้นมีเพียงคนเดียว  ลุงหอน–สัปเหร่อขี้เมาประจำตำบล

ที่ทิดดอนโกรธ  เพราะเคยได้ยินคนพูดเข้าหูบ่อยครั้งว่า ‘ทิดดอนผีบ้า’ หรือ ‘ทิดดอนคนไม่เต็มเต็ง’ หนุ่มไม่เต็มอย่างทิดดอนจึงเข้าคู่กับสาวพร่องบาทอย่างนางสาวแหลม  เหมือนผีแห้งกับโลงผุ

ลุงหอนคนเดียวเท่านั้นที่ไม่เคยพูดจาทำนองดูถูกทิดดอน

ร่างล่ำสันของทิดดอนย่ำเท้ากระแทกพื้นดินดังตึก..ตึกๆๆ  เลี้ยวผ่านประตูหน้าวัดซึ่งมีไฟนีออนหลอดสั้นสว่างอยู่  น่าแปลก  แสงจากหลอดนีออนที่กระทบกับร่างของทิดดอน  ควรจะเกิดเงาทอดกับพื้น  แต่...ทิดดอนไม่มีเงา!

ทันใด  ฝูงหมาวัดก็กรูออกมาจากมุมต่างๆ ทั้งเห่ากรรโชกอย่างเอาเป็นเอาตาย  บางตัวร้องเอ๋งๆเหมือนหวาดกลัวสุดขีด  วิ่งหนีไปตั้งหลักเสียไกลลิบ  หลังจากนั้นบรรยากาศภายในวัดก็ชวนให้ขนลุกขนพองด้วยเสียงของเดียรัจฉานสี่ขา

“บรู๊ว ว ว ว์!”

“โบร๋ว ว ว์ ว!”

ทิดดอนเฉย  เขาไม่ใช่คนกลัวผี  ผีต่างหากควรกลัวเขา

หนุ่มใหญ่วัยเหยียบสี่สิบที่คบหาสนิทสนมกับสัปเหร่อเฒ่าตวาดไล่หมา  พร้อมส่งเสียงเรียกชื่อของลุงหอนและหลวงพ่อ

“พี่....ห อ น...ห ล ว ง พ่ อ!  ผ ม...ด อ น ”

น่าประหลาดนัก  เสียงของทิดดอน...ยานคาง  และมีอำนาจทำให้บรรยากาศที่วังเวงอยู่แล้ว  เย็นยะเยือกยิ่งขึ้น

เหล่าเดียรัจฉานทั้งฝูงคงสติแตก  หลายตัววิ่งให้พล่าน  หลายตัวฉี่ราดเห็นๆ  แม้ตัวที่ดุดันน่าเกรงขามที่สุดก็ทำได้แค่วิ่งไปหอนซะไกลลิบ

ทิดดอนเดินมาหยุดอยู่ที่หน้ากุฏิหลังใหญ่ของหลวงพ่อปอนเจ้าอาวาส  หูแว่วได้ยินเสียงกรนสนั่นหวั่นไหวของสัปเหร่อเฒ่า

“พี่ ห อ น อ ยู่ นี่ เ อ ง”

ทิดดอนพึมพำ  แล้วนึกรำคาญกับเสียงหมา  จึงหันไปตวาด

“ไ ป ใ ห้ พ้ น!”

หมาตัวกล้าหาญที่สุดยังลนลานวิ่งทะยานเข้าไปใต้ถุนศาลา  แต่ยังคงส่งเสียงรบกวนทิดดอนอยู่เหมือนเดิม

สายลมรำเพย  ใบโพธิ์ระบัดใบดังพับๆ  จีวรของหลวงพ่อที่ตากทิ้งไว้ด้านนอกศาลาหลังใหญ่ไหวพะเยิบคล้ายคลื่นน้ำ  ฝีเท้าของทิดดอนย่ำหนักๆไปหยุดอยู่หน้าบันไดกุฏิของหลวงพ่อ  แล้วเจ้าตัวก็ทรุดนั่งลงตรงนั้นโดยหันหลังให้กับบันได  แทนที่จะขึ้นไปปลุกสัปเหร่อหอน

น่าประหลาดนั้น  บัดนี้กลับได้ยินเหมือนกับเสียง...ร่ำไห้!

เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ได้  สัปเหร่อหอนเพิ่งสะดุ้งตื่น  ไม่ใช่เพราะเสียงร้องไห้ของทิดดอนหรอก  แกปวดท้องเบาต่างหาก

สัปเหร่อขี้เมาดึงผ้าจีวรเก่าที่ตัวเองเป็นคนดึงเอามาคลุมโปงต่างผ้าห่มตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ออก  ใบหน้าสัมผัสกับอากาศอันยะเยือกในทันที  โลมาทุกขุมขนพลันลุกซู่  และโสตประสาทก็แว่วได้ยินเสียงทุ้มๆของใครบางคนบริเวณบันไดขึ้นกุฏิ

หัวคิ้วสีดอกเลาของสัปเหร่อเฒ่าขมวดเข้าหากัน  รู้สึกหวั่นไหวบ้าง  แต่ประสบการณ์ทำให้สามารถสะกดความกลัวให้สงบลงได้รวดเร็ว

ความสว่างของดวงจันทร์  ทำให้มองเห็นร่างของใครคนหนึ่งนั่งหันหลัง  มองแวบเดียว  สัปเหร่อหอนก็หัวเราะ  ใช่ว่าสายตาดีนักหนาหรอก  แกจำกลิ่นได้ต่างหาก...กลิ่นตัวของทิดดอน!

“ไอ้ทิดดอน!”

“พี่หอน” ทิดดอนผุดลุกขึ้น  หันมามองสัปเหร่อหอน  “พี่ช่วยผมด้วย”

สัปเหร่อเฒ่าลงบันไดสองสามขั้นแล้วทรุดร่างนั่งลงตรงนั้น “เกิดอะไรขึ้นวะ ไอ้ทิด”

“วัว!” ทิดดอนตอบทั้งสะอื้น “วัวผมตกใจเสียงฟ้าผ่า  วิ่งเตลิดไปทางไหนก็ไม่รู้”

“วัว!  ขนแดง ท้องแก่ใช่มั้ย?”

“ครับพี่”

“ฮะฮะ”

“พี่หอนหัวเราะทำไม?  มันเป็นสิ่งมีค่าที่สุดของผมนะครับ”

“ข้าไม่ได้หัวเราะเอ็ง  แต่หัวเราะตัวเองที่จำวัวของเอ็งไม่ได้  มิน่า  คุ้นๆยังไงชอบกล”

“พี่หอนเห็นงั้นเรอะ?”

“เออ...” สัปเหร่อเฒ่าตอบทันทีไม่มีกั๊ก  ถ้าเป็นวัวของคนอื่นคงลีลาเพื่อขอเหล้าขาวสักขวดไถ่ถอน แต่นี่ของทิดดอน หนุ่มใหญ่นิสัยดี  แต่ไม่ค่อยเต็มเต็ง  “ข้าเจอตอนหัวค่ำ  ผูกไว้หลังศาลาใหญ่โน่นแนะ”

“จริงหรือครับ?” ท่าทางของทิดดอนดีใจออกหน้า “ขอบคุณพี่หอนมาก  แต่ว่า...”

“ข้าโกหกเอ็งให้มันได้อะไร  พรุ่งนี้ค่อยเอาไป  ข้าว่าเอ็งนอนคุยเป็นเพื่อนข้าที่นี่แหละ  หลวงพ่อไม่อยู่วัดว่ะ  บรรยากาศคืนนี้มันวังเวงถึงใจเสียด้วย”

“ก็ดีเหมือนกันครับพี่” ทิดดอนรับคำ

ลุงหอนตาสว่าง  ไม่รู้สึกง่วงอีกแล้ว  แกขอตัวไปปัสสาวะแล้วกลับมานอนคุยกับทิดดอนด้วยเรื่องสัพเพเหระจนเกือบฟ้าสาง...และผล็อยหลับไปตอนนั้น

สัปเหร่อเฒ่ากำลังหลับสบายๆ  ก็กลับถูกปลุกตอนแสงเงินแสงทองจับที่ขอบฟ้าตะวันออก  แกสะดุ้งโหยง ขนลุกซู่ย้อนหลัง  เมื่อคนมาตามบอกว่า...

“ทิดดอนเอาวัวไปเลี้ยงทุ่งตะวันตกแล้วไม่ยอมกลับเข้าบ้าน  พ่อของทิดดอนออกตามหา  ไปพบลูกชายเป็นศพเสียแล้ว  ทิดดอนถูกฟ้าผ่าตายตั้งแต่บ่ายสามโมงกว่า   วัววิ่งเตลิดมานี่  ขอบใจลุงนะที่จับผูกเอาไว้”

ลุงหอนพยักพเยิดหน้ารับคำ  พร้อมกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ  พึมพำกับตัวเองว่า  พวกเอ็งจะหนาวถ้ารู้ว่าข้าคุยกับไอ้ทิดดอนทั้งคืน

สัปเหร่อเฒ่าเอ่ยอย่างเวทนา “คนดีๆอย่างไอ้ทิดดอน  ไม่น่าอายุสั้นเลย”

“ก็สมควร!” คนมาตามไปทำศพทิดดอนกระแทกเสียง

“เอ๊ะ!  เอ็งไม่น่าพูดยังงี้นะ”

ชายคนนั้นหันขวับมามองหน้าสัปเหร่อหอนนิดหนึ่ง  ก่อนพูดเสียงดัง

“มันน่าถูกฟ้าผ่าไหมล่ะ  ก็ไอ้ทิดดอนมันจัญไรเอาอีแดงทำเมียกลางวันแสกๆ  คนไม่เห็น  แต่ฟ้าพิโรธ  เป็นผมก็ทนดูไม่ได้เหมือนกัน!”

ขอบคุณภาพโดย Juan Pablo de Vicente gonzalez จาก Pixabay

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์