อื่นๆ
เรื่องเล่าเก้าแสงเทียน 1 (GผีS)

เรื่องเล่าเก้าแสงเทียน (GผีS)
“เนื้อเรื่องถูกแบ่งเป็น 5 ส่วน 5 เรื่องเล่า สามารถอ่านแยกกันได้ แต่เพื่อความหลอน กรุณาอ่านเรียงลำดับ”
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ ผมรับฟังมาอีกทีจากเพื่อนที่รู้จักกันในสัมมนาขายตรงแห่งหนึ่งช่วง 6 ปีก่อน จึงนำมาเรียบเรียงเพื่อให้ทุกคนฟังเข้าใจง่ายๆ โดยที่แบ่งเป็นเรื่องราว ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน
ยามค่ำคืนของการสัมมนาขายตรง ผมได้เพื่อนใหม่ที่อายุเท่าๆ กันมาคนหนึ่ง เขาเองก็อยากที่จะหยุดงานแล้วรายได้ไม่หยุดดั่งเช่นถ้อยคำเชิญชวนจากผู้นำมา สองคนไปนั่งจิบเบียร์กันบนชั้นดาดฟ้าโรงแรมที่จัดทำเป็นสระน้ำ เรานั่งดื่มเบียร์กันอยู่บนนั้น ก่อนที่เพื่อนใหม่นามว่า “ม็อป” จะเริ่มเรื่องขึ้นมา
เขาเล่าว่าการนั่งอยู่บนที่สูงๆ แบบนี้ทำให้เขารู้สึกหวิวๆ เพราะนึกถึงเรื่องห่ามๆ ที่เคยทำเอาไว้สมัยก่อน ผมปล่อยให้เขาร่ายถึงเรื่องราวนั้น ว่าตอนที่อยู่ม.สาม เขาและเพื่อนๆ สี่คนเป็นตัวแทนถูกพาไปเข้าค่ายลูกเหลือรวมกับโรงเรียนอื่นๆ ในเขตการศึกษาที่ค่ายแห่งหนึ่ง อยู่ห่างน้ำตกอันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดไม่มาก ทุกๆ คนต้องไปสุ่มรวมหมู่กับโรงเรียนอื่น เพื่อตั้งหมู่ขึ้นมาใหม่ โดยที่ม็อปต้องไปรวมกับหมู่อื่นคนเดียวจนได้เพื่อนใหม่มาสามคน ก้อง ปาล์ม และเก้า ทั้งสี่สนิทกันอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
Advertisement
Advertisement
การเข้าค่ายในคืนแรก ก่อนที่จะเข้านอน อาจารย์ก็มักจะเล่าเรื่องผีเกี่ยวกับค่ายลูกเสือแห่งนี้เพื่อให้นักเรียนกลัว ไม่ออกมาจากที่พักยามค่ำคืน แต่นั่นใช้ไม่ได้กับเขาสี่คน ด้วยความห้าว เริ่มจะเป็นวัยรุ่นและไม่กลัวในเรื่องราวลี้ลับ ทั้งหมดจึงแอบออกมานั่งอยู่ที่เนินเขาหลังค่าย ซึ่งตรงนั้นมีสิ่งก่อนสร้างที่เหมาะสำหรับการนั่งคุยกัน เป็นเหมือนศาลา หรือห้องเก็บของที่ยังสร้างไม่เสร็จ มีหลังคา ผนังสามด้านและเปิดโล่งหนึ่งด้าน ทุกคนนั่งแอบสูบบุหรี่อยู่ตรงนั้น เพราะด้านที่เปิดโล่งหันไปอีกทาง ไม่มีทางที่ครูอาจารย์จะทราบแน่นอน
“มึงเชื่อเรื่องผีที่ครูพูดมั้ยวะ ?” ก้องถามขึ้นในตอนนั้น แน่นอนว่าไม่มีใครเชื่อ
“เรื่องผีกระจอกๆ เอามาหลอกให้เด็กนอน”
“ครูกูเอง” ปาล์มพูด “ไม่ต้องไปกลัวหรอก ค่ายไหนๆ ก็เรื่องเดิม กูเนี่ยแทบจะท่องตามได้ทุกคำอยู่แล้ว”
Advertisement
Advertisement
ทั้งหมดหัวเราะคิกคักกันอย่างสนุกสนาน ก่อนที่เก้าจะตัดบทขึ้น “กูมีเรื่องที่น่ากลัวกว่านั้นอีก ฟังมั้ย ?”
ทุกคนเงียบ หันมองหน้ากันแล้วพยักหน้าด้วยรอยยิ้มที่แววตาซึ่งรักสนุก ไม่คิดจริงจัง
“กูต้องจุดเทียนสร้างบรรยากาศ” เก้าพูด “เอามาจากข้างๆ เห็นตกอยู่เป็นกองเลย บ้านกูบอกว่าจุดเทียนเก้าดอกเล่าเรื่องผีจะทำให้เห็นผี...กล้าไหมล่ะ ?”
ทุกคนตอบคำถามด้วยความลิงโลด ไม่มีความกลัว มีแต่ความสนุกสนานเท่านั้น แล้วเก้าก็จุดเทียนเก้าเล่ม
“ถ้าใครมีก็เปลี่ยนกันเล่า...นี่เรียกว่าเรื่องเล่าเก้าแสงเทียน โบราณว่าไว้ ว่าหากเล่าในที่แจ้งหรือนอกชายคาบ้านในตอนหลังเที่ยงคืน...จะมีบรรดาสัมภเวสีมาร่วมนั่งฟังด้วย” เก้าบอก “กูก่อน...เรื่องนี้เป็นตอนที่พ่อของกูไปส่งของที่พิจิตร”
พ่อของเก้าเป็นพนักงานส่งของให้กับบริษัทแห่งหนึ่ง ครั้งนั้นเขาต้องไปในจังหวัดที่ไม่คุ้นเคย แต่เพราะว่าค่าตอบแทนค่อนข้างสมน้ำสมเนื้อ จึงตอบตกลงไป จากนั้นการเดินทางทั้งหมดจึงเป็นการเปิดใช้งานเครื่อง GPS จากโทรศัพท์มือถือแทน
Advertisement
Advertisement
เส้นทางส่วนมากนั้นก็เป็นการขับไปตามถนนเส้นหลักที่มีรถราสวนมาอยู่ตลอดระยะเวลา แม้จะเข้าช่วงเวลาหลังเที่ยงคืนไปแล้วการจราจรก็ยังคงหนาแน่น แต่แล้วเมื่อเข้าสู่จังหวัดพิจิตร เครื่องนำทางก็บอกให้พ่อของเก้าเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนชนบท แล้วหลังจากนั้นทุกๆ อย่างก็เปลี่ยนไป
นั่นเพราะว่าถนนเริ่มบีบแคบลง จากสี่ช่องทางเดินรถเหลือเพียงสอง และยิ่งขับเข้าไป มันก็ยิ่งแคบลง ซ้ำไฟข้างทางที่มีก็เริ่มห่างออกไปจนสุดท้ายก็สุดถนนลาดยาง ทั้งสองขับตรงเข้าสู่ถนนลูกรัง ที่มีทั้งก้อนกรวดและหลุมบ่อ ฝุ่นสีขุ่นกระจายรอบคันรถเมื่อขับตรงไปเรื่อยๆ สองคนในรถนั้นเริ่มตั้งคำถามว่าจะเลี้ยวดีไหม ทว่าในตอนนั้นทางที่แคบขนาดนี้และไหล่ทางสองข้างค่อนข้างต่ำทำให้เลี้ยวยาก ครั้นจะถอยก็ไกลเกินไป สองข้างทางมีเพียงไร่อ้อยและไร่ข้าวโพด มีแสงไฟจากบ้านคนอยู่ลิบตา ทั้งสองตั้งใจที่จะขับไปเพื่อหาจุดเลี้ยวรถเพื่อกลับออกไปถนนเส้นหลัก เครื่องGPS อาจจะหาเส้นทางที่ตัดใกล้ที่สุดโดยไม่รู้ว่าไม่สะดวกก็ได้ ควรกลับไปเพื่อขึ้นถนนใหญ่ จากนั้นก็ให้เครื่องนำทางหาทางเส้นใหม่ ต่อให้เสียเวลามากขึ้นก็ยอม
แต่ยิ่งขับเข้าไปเท่าไหร่ ก็ไม่มีแววว่าจะเห็นทางแยกเลยแม้แต่แยกเดียว ทั้งสองเริ่มใจเสีย แต่ก็ต้องจำยอม อย่างน้อยน้ำมันเต็มถังก็ต้องพาเขาไปยังจุดหมายได้แน่นอน ทว่าในวินาทีนั้น พ่อของเก้าก็ต้องเหยียบเบรกตัวโก่ง เพราะตรงหน้าที่ไฟสูงสาดไป เห็นหมาตัวใหญ่เกือบเท่าม้ายืนผงาดง้ำจ้องทั้งสองด้วยแววตาที่แดงก่ำ ยืนยันชัดว่าเป็นหมา ไม่ใช่ม้าแน่นอน ชายอกสามศอกถึงกับร้องลั่นไม่เป็นภาษาเมื่อมันกระโจนมาหาในเสี้ยววินาที เหยียบขึ้นกระโปรงรถแล้วกระโดดข้ามหลังคาไปด้านหลัง พ่อของเก้าคุมสติตัวเองไว้ไม่อยู่ หักพวงมาลัยกะทันหัน ส่งผลให้รถเสียหลักตกลงไปที่ไหล่ทาง พร้อมกับเสียงของระบบนำทาง “ตรงไป”
เรื่องทั้งหมดจนลงตรงที่ประมาณตีสี่ มีชาวบ้านขับรถไถผ่านมา จึงช่วยลากรถขึ้นไป และบอกอีกว่าทางเส้นนี้ตรงไปสุดก็จะเป็นหมู่บ้าน และเมื่อถามถึงจุดหมายที่ต้องไปส่งก็พบว่าต้องตรงบนถนนใหญ่ไปอีกประมาณสิบกิโลเมตร
รถยนต์ไม่เป็นอะไรมาก ของที่ส่งก็เช่นกัน แต่เมื่อตั้งเป้าหมายใหม่ไปยังสถานที่อื่นที่ใกล้เคียงแล้วขับตรงไป ครู่หนึ่งเครื่องนำทางก็บอกว่าผิดทาง ให้ยูเทิร์นกลับไปทางเดิม ทั้งสองเริ่มหวาดกลัว ตัดสินใจปิดสัญญาณอินเตอร์เน็ต แต่กลับมีเสียงแว่วมาจากสักที่ภายในรถ เป็นน้ำเสียงเย็นเยียบจนน่าขนลุกว่า “กลับไปสิมึง...”
นั่นจึงทำให้เป้าหมายที่เร็วที่สุดของทั้งสองคนก็คือวัด
ยามลำยากจนใจ คนไทยมักนึกถึงวัดเป็นที่แรก ท่านเจ้าอาวาสกำลังปฏิบัติกิจสงฆ์อยู่ในวัน เพียงแค่ท่านเห็นก็เรียกทั้งสองเข้าไปในโบสถ์ทันทีเพื่อทำการรดน้ำมนต์ให้พร
หลังจากนั้นทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ ระบบนำทางไม่มีการบอกเส้นทางผิดอีก และเมื่อส่งของเสร็จ จึงแอบถามคนในพื้นที่ ได้ความว่าทางเส้นนั้นชาวบ้านเรียกว่าถนนไสยศาสตร์ มันเป็นลำเลเป็นทำเลตาย ไม่มีใครผ่านตอนกลางคืน เพราะพวกจอมขมังเวทจะลองของปล่อยของกันในรูปลักษณ์ต่างๆ ไอ้หมาดำตัวยักษ์นั่นก็ใช่ด้วย ชาวบ้านบอกอีกว่าดีจริงๆ ที่ติดอยู่หลายชั่วโมงแต่ไม่ลงจากรถ เพราะถ้าลงจากรถอาจจะโดนลมเพลมพัดเล่นงานจนเป็นบ้าใบ้ไปก็ได้
หลังจากลับมาจากการส่งของครั้งนั้น พ่อของเก้าก็ประกาศชัดเจนเลยว่าจะไม่ไปส่งของนอกเขตที่คุ้นเคยอีก ต่อให้โดนไล่ออกก็ยอม...
เขาจะไม่ยอมเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงอีกครั้ง
ความคิดเห็น






