อื่นๆ

คำสาปแช่งสัมภเวสี

435
คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
คำสาปแช่งสัมภเวสี

เสียงพระสวดทำวัดเย็นก้องกังวานผ่านหอกระจายเสียง ทะลุผ่านผนังห้อง ผ่านเข้าโสตประสาทรับเสียงยิ่งฟังยิ่งขลัง และเกิดปิติเป็นนัยๆ ผนวกกับความเงียบสงัด ภายในห้องพัก  ผมยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน  สองมือรัวแป้นพิมพ์เพื่อเล่าประสบการณ์สยองขวัญที่ได้รับรู้จากคนใกล้ตัว  ไม่เชื่อก็จำเป็นต้องเชื่อ เพราะเหตุการณ์เหล่านี้มันผ่านมาเกือบ 20 ปีแล้ว และยังเกิดต่อเนื่องกับครอบครัวของน้าคนนี้ และปีนี้ เป็นอีกปีที่คุณน้าคนนี้ต้องสูญเสียคนรักและคนในครอบครัวไปอีกครั้งอย่างไม่มีวันกลับ  ...

เมื่อ 20 ปีก่อนเท่าที่จำความได้ตอนนั้นผมอายุประมาณ 12 ขวบ ราว ๆ ปีพุทธศักราช 2542  นั่นคือเหตุการณ์แรกผลของการสาปแช่งทั้งมวล  แต่ยังไม่มีใครรู้หรอกว่าเรื่องราวเกิดขึ้น ตอนไหน เกิดขึ้นได้อย่างไร   เหตุการณ์เช้ามืดวันนั้นมันเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ในระดับการสื่อสารสมัยนั้น ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ มีเพียงโทรศัพท์ ที่แจ้งข่าวมายังปลายสายอีกหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งมีเพียง 1 บ้านเท่านั้นที่มีโทรศัพท์บ้านสมัยนั้น คอยให้บริการอีกหลายหมู่บ้านรอบๆ

Advertisement

Advertisement

เสียงร้องไห้ ของน้าสาว หลังจากทราบข่าวการเสียชีวิตของลูกสาวจากเหตุการณ์ประสบอุบัติเหตุ มอเตอร์ไซต์ชนสะพานตกแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อน้าสาวและครอบครัวทราบข่าว จึงได้ดำเนินการไปรับศพ นำกลับมาทำพิธีบำเพ็ญกุศลตาม ประเพณี  ทุกคนยังคงอยู่ในอาการโศกเศร้า เพราะลูกสาวคุณน้าได้จากไปในวัยเพียง 20 ปีเศษ  เพิ่งจะได้เริ่มงานไม่นาน กว่าทุกคนจะทำใจได้ก็ใช้เวลาพอสมควร

ผ่านไปหลายปีพวกเราได้มีโอกาสนั่งสนทนา พูดคุย ตามประสาญาติพี่น้อง และสิ่งหนึ่งที่ทำ ให้พวกเริ่มสงสัยเหตุการณ์เสียชีวิตของพี่กันย์ลูกน้าสาว เกิดจากหัวข้อสนทนาของน้าสาว ที่เล่าถึงเหตุการณ์ก่อนวันเสียชีวิตของพี่กันย์ ว่า เมื่อปลายปีก่อนลูกสาวน้าสาวจะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เป็นช่วงฤดูเกี่ยวข้าว และในวันนั้นน้าสาวลงแขกเกี่ยวข้าวเป็นปกติ ซึ่งสมัยนั้นการใช้รถเกี่ยวข้าวยังไม่มีเข้ามาให้บริการแถวๆบ้านเราจึงยังคงลงแขกเกี่ยวข้าวแบบดั้งเดิม ลมหนาวยังคงพัดหวิวผ่านผิวกาย เย็นยะเยือก  แต่ยังได้ไออุ่นจากแสงแดดเล็กน้อย เวลาใกล้เที่ยง น้าสาวขึ้นจากนาเพื่อที่จะเข้าไปบ้านไปเตรียมสำรับอาหารมาให้ทุกคนที่ช่วงลงแขกเกี่ยวข้าวได้ทานมื้อเที่ยงร่วมกัน  และในระหว่างการเดินตามคันนาไปบ้านก็ไม่ไกลนัก ระหว่างนั้นน้าสาว เห็นต้นไม้ใหญ่กิ่งไม้ ใบไหวแปลก ไม่น่าใช่แรงลม จึงหยุดดูและเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ทันได้นั้นน้าสาวก็ได้ตะโกนเรียกคนอื่นๆ และตะโกนให้คนที่อยู่บนต้นไม้นั้นลงมา เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมาก ชายวัยกลางคนสูงใหญ่ เป็นคนในหมู่บ้านใกล้ กำลังจะแขวนคอ ของตัวเองห้อยลงจากต้นหมายหวังเพียงปลิดชีพตัวเอง แต่ยังโชคดีที่น้าสาวได้มาเห็น และเรียกชาวบ้านมาช่วยได้ทันเวลา  เมื่อถามเหตุการณ์ชายคนดังกล่าว บอกว่าไม่รู้ตัวว่ามาที่นี่ได้อย่างไร  รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มีคนช่วยลงจากต้นไม้ใหญ่แล้ว  ชาวบ้านต่างพากันผูกข้อไม้ข้อมือเพื่อเรียกขวัญตามธรรมเนียมของชนบทบ้านเรา

Advertisement

Advertisement

กลางดึกของคืนวันนั้นทุกคนในบ้านหลับสนิท น้าสาวจะเป็นคนที่ตื่นก่อนนอนทีหลัง และคืนนี้ก็เช่นเดียวกัน ในขณะที่น้าสาวล้มตัวลงนอน กำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น ผ่านไปสักครู่ใหญ่
"ตึง...ตึง...ตึง...ตึง...."   เสียงเคาะประตูดังขึ้น ดังจนน้าสาวต้องสะดุ้งตื่น  แต่แล้วเสียงนั้นก็เงียบไป น้าสาวจึงคิดว่า คงหูแว่ว หรือเกิดจากการเพลียหลังจากเกี่ยวข้าวทั้งวัน  จึงไม่ได้สนใจอะไร แต่ไม่ใช่แค่นั้นเมื่อน้าสาวหลับสนิท มีร่างใหญ่ดำทมึน  ยืนอยู่ปลายเตียง มองไม่ชัดว่าหน้าตา แบบไหน แต่งตัวอย่างไร อยู่แต่เพียงว่าตรงปลายเตียงมีคนร่างใหญ่ยืนอยู่  ลักษณะกำลังใช้นิ้วชี้มาที่น้าสาวที่กำลังนอนบนเตียง และขยับตัวไม่ได้  ร่างใหญ่ดูท่าทางดุดัน เหมือนโกรธแค้นสิ่งใดเป็นอย่างมาก  และทันใดนั้นเสียงจากร่างใหญ่นั้นก็ตะโกนออกมาด้วยเสียงเกรี้ยวกราดใส่คุณน้า
"เพราะมึง....เพราะมึงคนเดียว กูเกือบจะได้ชีวิตมันไปแล้ว  มึงมาช่วยมันทำไม คอยดูกูจะเอาคนในครอบครัวมึงไปแทน"   สิ้นเสียงนั้นน้าสาวสะดุ้งตื่นนอนเวลาประมาณตี 5 เศษ รีบลุกเปิดไฟทั่วบ้าน ทุกคนก็ทะยอยตื่น มาทำภาระกิจของตัวเอง น้าสาวยังไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง อาจจะคิดหรือจิตตกไปเอง เพราะเป็นเพียงความฝันเท่านั้น   แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อคนแรกที่ร่างใหญ่มาพรากไปจากครอบครัวคุณน้าคือลูกสาวของน้าสาวเอง และมันก็คงไม่ใช่เรื่องเล่นๆ  เรื่องราวและเหตุการณ์ที่น้าสาวประสบ จึงได้ถูกส่งต่อเรื่องราวผ่านหมู่ญาติ ทุกคนต่างช่วยกันหาวิธีแก้ปัญหา ไม่ว่าจะทำบุญบ้าน อุทิศส่วนกุศล และมันคงจะดีขึ้น

Advertisement

Advertisement

สองปีให้หลัง หลังจากที่ลูกสาวของคุณน้าประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ทุกคนคิดว่านั่นคงเป็นแค่อุบัติเหตุ หรือไม่ทุกอย่างอาจจะถูกแก้ไขไปเรียบร้อย และสัมภเวสีตนนั้นคงยอมรับสิ่งที่ครอบครัวน้าสาวทำบุญไปให้  ทุกคนจึงวางใจและใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติสุข  แต่ไม่สิ!   ฤดูเก็บเกี่ยว ฤดูหนาววนมาอีกครั้ง ทุกคนลงแขกเกี่ยวข้าวรวมถึงน้าสาว เป็นปกติ แต่ครั้งนี้เหตุการณ์เกิดขึ้นช่วงบ่ายแก่ๆแล้ว ทุกคนเลิกจากนา มุ่งนาเข้าบ้านของน้าสาวเพื่อนั่งพักก่อนแยกย้ายกลับบ้านตนเอง ซึ่งปกติจะมีคุณตาซึ่งเป็นพ่อของน้าสาวจะนอนเล่นที่แคร่  รอลูกหลานเสร็จจากงานไร่ งานนา  น้าสาวมาถึง ก็เรียกว่า  แต่ทว่าวันนี้ไม่เห็นตานั่งอยู่ที่แคร่ ห้องน้ำก็ไม่เห็น
"ผมเห็น  คุณตาเดินไปทางน้าที่เราเกี่ยวข้าว เดินสวนกัน ผมเรียกแต่ตาไม่ตอบ"   เด็กหนุ่มซึ่งหนึ่งในคนที่มาช่วยลงแขกเกี่ยวข้าวและเป็นคนที่เดินกลับจากนาเป็นคนสุดท้ายบอกกล่าวกับทุกคน  ด้วยความตกใจน้าสาวกุลีกุจอ วิ่งกลับไปที่นา  และไอ้แดงหมาที่คุณน้าเลี้ยงไว้ก็วิ่งตามหลังไปไม่ขาดสาย  สักครู่หนึ่งเสียงหวีดร้อง ปานใจจะขาดของคุณน้าดังขึ้น  ไอ้แดงก็เห่าไม่หยุด  ทุกคนที่อยู่ที่บ้านต่างวิ่งกรูออกไปดู  เห็นคุณน้ายืนร้องไห้ใต้ต้นไม้ใหญ่  เสียงครวญอย่างน่าสงสาร  ภาพที่เห็นคือร่างไร้วิญญาณของคุณตาแขวนคอห้อยบนต้นไม้ใหญ่ต้นเดิมที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้เมื่อหลายปีก่อน   ความเศร้าโศกเสียใจหวนกลับคืนมาอีกครั้ง  น้าสาวจัดงานศพตามประเพณี อุทิศส่วนกุศลให้คุณตา ซึ่งเป็นพ่อของน้าสาว จนเสร็จงานทุกคนก็ยังอยู่ในภวังค์ของความเศร้า เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นแบบไม่ได้ตั้งตัว  และไม่มีเหตุจูงใจให้เกิดแม้แต่น้อย  นั่นสิ! นี่อาจเป็นอีกหนึ่งความต้องการจากคำสาปแช่งของสัมภเวสีตนนั้น คงคับแค้นใจ ที่น้าสาวได้ไปช่วยชายที่กำลังคิดจะผูกคอตายครั้งนั้น  ในช่วงเวลาไม่กี่ปีบ้านน้าสาวสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปอย่างต่อเนื่อง 2 คนแล้ว  น้าสาวกลัวว่าใครจะเป็นรายต่อไป  ใช้ชีวิตอยู่บนความวิตกอยู่เสมอ

คืนหนึ่งหลังจากที่คุณตา หรือคุณพ่อของน้าสาวเสียชีวิต  ไปแล้วประมาณ 4 เดือน  น้าสาวได้ฝันแปลกๆอีกครั้ง ฝันเห็นชายร่างใหญ่คนนั้นเช่นเคย แต่มาครั้งนี้มายืนชี้หน้าที่ปลายเตียง แล้วก็หายไป  เขาคงมาส่งสัญญาณบอก หรือแสดงตัวให้เห็นว่าเป็นฝีมือของเขา  คุณน้าจึงได้ทำบุญไปให้ทุกครั้งที่มีโอกาสอย่างต่อเนื่อง  หวังว่าคุณตาจะเป็นรายสุดท้าย

ห้าปีผ่านไปหลังจากที่คุณตาเสียชีวิต ลูกชายของน้าสาวได้เข้าพิธีแต่งงานหวังเพียงว่าครอบครัวน้าสาวจะกลับมาครึกครื้นอีกครั้ง น้าสาวและลูกชาย รวมถึงลูกสะไภ้อยู่ในบ้านอย่างมีความสุข ทุกอย่างกำลังไปได้สวย ทุกคนต่างมีรอยยิ้มและมีความสุข

ลูกชายแต่งงานไปได้แค่ปีกว่า ลูกสะไภ้ก็กำลังตั้งครรภ์ได้ 7 เดือนแล้ว แต่ไม่รู้อาการของคนแพ้ท้องหรือเปล่า  อยากกินแต่เหล้าขาว  และชอบขังตัวเองอยู่ในห้อง  แล้วมาวันหนึ่งน้าสาวกำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว ได้ยินเสียง "ตึง.." เหมือนอะไรล้มบนบ้าน  น้าสาวและลูกชายรีบวิ่งขึ้นไปดู เปิดประตูห้องเข้าไปเห็นลูกสะไภ้กำลังดิ้นทุรนทุราย หน้าเริ่มเขียว กำลังแขวนคอตัวเองอยู่บนขื่อบ้านในห้องนอน  ลูกชายรีบปีนแกะเชือก น้าสาวอุ้มประครองลูกสะไภ้ไว้ และช่วยชีวิตเอาลงมาจนได่ นี่คงเป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนจากสัมภเวสีตนนั้น ทำไมถึงเคียดแค้นได้ถึงเพียงนี้  น้าสาวถามลูกสะไภ้  ลูกสะไภ้บอกว่าจำอะไรไม่ได้ ตอนแรกกำลังนั่งพับเสื้อผ้าอยู่ดีๆ แต่ตั้งแต่มาอยู่บ้านหลังนี้ฝันร้ายบ่อยมาก ฝันเห็นหมาดำบ้าง  ฝันเห็นชายร่างใหญ่บ้าง  ไม่ได้เล่าบอกใครคิดว่าเป็นอาการของคนแพ้ท้อง  หลังจากนั้นน้าสาวตัดสินใจให้ลูกสะไภ้ และลูกชายแยกทางกันเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบในสิ่งที่มองไม่เห็นตามมาทีหลัง  และแล้วทั้งสองก็ต้องเลิกรากันไปเพราะความห่างไกล  อีกทัั้งเหตุผลอื่นๆ ทิ้งไว้แค่เพียงลูกชาย ให้น้าสาวเลี้ยง และโตจนถึงทุกวันนี้

จากวันที่ลูกสะไภ้แขวนคอบนขื่อบ้านผ่านมาจนถึงปีนี้ก็เกือบๆ  12 ปีได้ หลังจากทำบุญบ้านครั้งใหญ่ทุกคนก็อยู่กันอย่างมีความสุขมาร่วมสิบปี ถ้าไม่ใช่ฤดูทำนา น้าสาวจะเก็บของไปตลาดในตัวเมือง โดยมีหลานและสามีช่วยขนของไปส่งที่ปากซอย เพื่อรอรถสองแถวเข้าไปในตัวเมือง  เมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2562 ก็เป็นเช่นเดิมที่สามีและหลานชายคุณน้าจะขับรถขนผักพ่วงรถเข็นไปส่งน้าสาวขึ้นรถสองแถวที่หน้าปากซอย เวลาตี 4 เป็นประจำทุกๆวัน   น้าสาวหิ้วตระกร้าผักข้ามถนนไปอีกฝั่ง หลานชายแบกตะกร้าอีกใบตามหลัง  ส่วนสามีกำลังหิ้วตะกร้าที่เหลือรอจะข้ามถนน  เพียงเวลาแค่เสี้ยววินาที  รถเก๋งที่ขับมาด้วยความเร็วสูง ชนสามีของน้าสาวเข้าให้อย่างจังเสียชีวิตคาที่ รถไถลลากร่างของสามีคุณน้าข้ามไปอีกฝั่งไกลประมาณ หลายสิบเมตร ทั้งน้าสาวและหลานชายตกใจหวีดร้อง วิ่งไปดูสามีของตน  ชาวบ้านที่อยู่ละแวกนั้นตกใจตื่นเปิดไฟ เปิดประตูวิ่งออกมาดู และช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาล แต่ก็ไม่เป็นผล  ความเศร้าโศกเสียใจหวนกลับคืนมาอีกครั้งในรอบหลายสิบปี ที่ครอบครัวคุณน้าเสียคนรักคนแล้วคนเล่า จนถึงสามีผู้เป็นที่รักรายล่าสุด

คุณน้ายังคงปักใจเชื่อนี่คงเป็นแรงแค้น  จากผลที่คุณน้าได้ช่วยชีวิตคนผูกคอตายครั้งนั้น  และสัมภเวสี ก็มาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของคุณน้าอย่างไม่สิ้นสุด หรือคงเป็นวิบากกรรมอันใด คุณน้าเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง แต่มิอาจวางใจได้ว่าเหตุการณ์จะไม่เกิดขึ้นอีก  ตอนนี้ในบ้านเหลือเพียงน้าสาว ลูกชาย และหลานชาย แค่นั้น  ลูกสาว  พ่อ  ลูกสะไภ้  สามี  ต้องมาจากไป ทั้งจากเป็นและจากตาย มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้ว  นี่คงเป็นคำสาปแช่งของสัมภเวสีตนนั้น นั่นเอง

แผ่เมตตาเครดิตภาพ : https://www.sanook.com/

.....
...
อิทัง สัพพะเปตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เปตา

ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เปรตทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เปรตทั้งหลายทั้งปวงมีความสุข

อิทัง สัพพะเวรีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพเวรี

ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวงมีความสุข

อิทัง สัพพะสัตตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ สัตตา

ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงมีความสุขทั่วหน้ากันเทอญ
...


เล่าเรื่อง : คุณชายโอท

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์