อื่นๆ

พื้นที่ทับหลอน

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
พื้นที่ทับหลอน

ภาพที่เขตชายแดนพื้นที่ทับหลอน

เรื่องนี้เป็นเรื่องจากประสบการณ์จริงของผมเองเมื่อครั้งยังเป็นทหารอยู่

เมื่อปีพ.ศ.2554 มีเหตุพิพาทที่เขาพระวิหารตอนนั้นผมเป็นทหารผลัด 2 ประจำการอยู่ที่กองพันกองพันหนึ่ง มีรายชื่อทหารหลายนายที่ต้องเข้าร่วมลงพื้นที่เขตพิพาทเขาพระวิหาร หนึ่งในนั้นก็มีผมด้วย แต่ผมมีรายชื่อเป็นกองหนุน ซึ่งไปประจำอยู่จังหวัดสุรินทร์ในอำเภอหนึ่ง

ในจุดที่กองหนุนที่พวกเราไปประจำนั้นเป็นพื้นที่ไร่นาของชาวบ้าน แต่เหมือนเป็นป่าที่มีชาวบ้านมาทำนาแซมไว้ซะมากกว่า เราใช้เวลาเดินทางกันตอนกลางคืนกว่าจะไปถึงก็เกือบเย็นของอีกวัน พอไปถึงจุดที่ประจำ ทุกนายก็ช่วยกันหาทำเลเพื่อทำเป็นที่พักก่อนที่ฟ้าจะมืด เพราะไฟฟ้าน้ำใช้น้ำอาบก็ไม่มี แม้แต่ห้องน้ำก็ไม่มีใครปวดหนักก็เป็นอันต้องถือจอบเสียมเข้าป่ากันไปตามยถากรรม

กว่าที่พักจะเสร็จก็ค่ำมืดมากแล้ว ก็ได้แสงจากไฟฉายนี่แหละที่เป็นอุปกรณ์พึ่งพายามค่ำคืน พอกินข้าวกันเสร็จ ผู้กองก็สั่งรวมพลเพื่อจัดเวรยามกัน ป้อมยามอะไรก็ไม่มีหรอก แค่พอเข้าๆกันไปก่อนกันไว้เผื่อข้าศึกจะแอบเข้ามา หลังจากรวมพลเสร็จแล้วทุกคนก็พักผ่อนตามอัธยาศัย ส่วนตัวผมได้ที่พักคืนแรกเป็นหลังรถบรรทุกทางทหารนั่นแหละครับทใช้ลังไม้สำหรับเก็บปืนเป็นเตียงนอนซะเลย ตอนนั้นสี่ทุ่มกว่าๆ เลยตื่นเต้นอยากโทรหาที่บ้านว่าได้มาเขตชายแดนครั้งแรก คุยกับคนที่บ้านเพลินไปจนดึก ตอนนั้นแม่เปลี่ยนให้น้องชายคุยสายแทน พอน้องชายคุยมันก็ทักเลย “พี่อยู่กับเพื่อนเหรอ” ผมเลยนึกแปลกใจเอ็งมาถามอะไรแบบนี้วะ ผมเลยบอกว่าอยู่คนเดียวนอนอยู่หลังรถคนเดียวเนี่ย มันก็ยังบอกอีกว่าได้ยินเสียงคนหัวเราะเสียงใหญ่มากๆ ผมเลยคิดว่ามันแกล้งแน่ๆ ผมเลยขอสายแม่ ยังไม่ทันจะพูดอะไรแม่ก็ถามเหมือนกันกับน้องเลยว่าอยู่กับเพื่อนเหรอ เสียงหัวเราะดังเชียว ผมก็ขนลุกสิครับ เลยบอกพรุ่งนี้โทรหาใหม่นะ แล้วผมก็รีบเดินลงจากหลังรถไปหาเพื่อนที่จับกลุ่มกันอยู่ไกลๆ พอผมเดินเข้าไปใกล้พวกเพื่อนๆมีเพื่อนคนหนึ่งมันสะดุ้งตัวปลิวเลย ผมเลยถามมันว่า “เป็นอะไร” มันบอกว่าจู่ๆมึงเดินมาก็ขนลุกทั้งตัวเลย  โหยอะไรจะขนาดนี้

Advertisement

Advertisement

พอหลายวันเข้าทุกคนก็เริ่มมีบทบาทหน้าที่ในแต่ละวัน ทั้งเวรยาม ก็มีป้อมยามแล้ว ไม่ต้องไปยืนตากน้ำค้างเหมือนวันก่อนๆไฟฟ้าก็เริ่มทยอยเข้ามา ก็ชาวบ้านนั่นแหละครับ ที่ต่อไฟเข้ามาให้ใช้สอยกัน น้ำใช้น้ำอาบก็ชาวบ้านอีกนั่นแหละ ที่ช่วยทุกอย่างเลย แม้แต่ห้องน้ำชาวบ้านก็มีส่วนช่วยด้วย

เรื่องน่ากลัวเกี่ยวกับผีสางที่ออกจากปากเพื่อนผม ก็ทำเป็นหูทวนลมไม่อยากฟัง เพราะกลัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่จะให้ทำไงได้ มันก็จำต้องฟังอยู่ดี บ้างก็บอกว่าได้ยินเสียงเหมือนของหนักๆตกลงไปในบึงน้ำของชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆ ทั้งๆที่ไม่มีต้นไม้ล้อมรอบบึงน้ำนั่นเลย บ้างก็ว่าเห็นดวงไฟประหลาดลอยผ่านปลายยอดไม้ บ้างก็ว่าเวลาเข้าเวรผลัดดึกๆ จะรู้สึกเหมือนมีคนมองอยู่ตลอดเวลา พอเพื่อนมันพูดมาถึงตรงนี้ ผมนี่ขนลุกเลยครับ จะไม่ให้ขนลุกได้ไง ก็อุตส่าห์คิดว่าตัวเองรู้สึกไปเอง ว่ามีคนมองตอนเข้าเวรมันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆนะครับ พอเราพยายามห้ามตัวเองไม่ให้คิด แต่มันก็ยังรู้สึกว่ามีคนมองอยู่ตลอดจริงๆ หลังจากได้ยินเพื่อนมันเล่าการเข้าเวรผลัดดึกในทุกๆคืน ผมจึงต้องไปปลุกเวรอีกคนมาเป็นเพื่อน เพราะก่อนหน้านั้นผมจะรับจ้างเข้าเวรคนเดียวตลอด

Advertisement

Advertisement

คืนหนึ่งเค้ามีรวมพลกันตอนกลางคืน ประมาณสามทุ่ม ต้องไปรวมทุกคน แต่ต้องมีคนเฝ้าหมู่ปืนหมู่ละหนึ่งคน ซึ่งมีสี่หมู่แต่ละหมู่ปืนตั้งห่างกันประมาณ 200 เมตร ผมก็เป็นคนนึงที่ได้เฝ้าหมู่ปืน ผมก็นอนรอเพื่อนและพวกจ่า ที่ไปรวมพลกันในเต้นท์ที่นอนปิดไฟมืด ผมนอนเล่นโทรศัพท์อยู่ จู่ๆได้ยินเสียงผู้ชายกับผู้หญิงเดินคุยกันเป็นภาษาเขมร อยู่ใกล้ที่ผมนอน ผมก็งงว่าใครจะมาเดินในเขตทหารตอนดึกๆวะ แล้วจากเสียงคุยกันกลายเป็นเสียงทะเลาะกันรุนแรงมาก ผมเริ่มรู้สึกกลัวมองไปก็ไม่เห็นมีใคร จู่ๆหมาเจ้ากรรมก็ดันมาหอนขึ้นตรงหัวนอนผมพอดี ผมก็คลุมโปงเลยครับ รอจนกว่าจ่านายสิบกับพวกเพื่อนๆจะกลับมา

มีอยู่คืนหนึ่งผมจำได้ว่า ประมาณสี่ทุ่มกว่าๆ ผมรู้สึกปวดหนัก ตอนแรกจะปลุกเพื่อน แต่ตัวเองก็ดันเป็นคนขี้เกรงใจ เลยตัดสินใจไปห้องน้ำคนเดียว บอกก่อนนะครับว่าห้องน้ำ จะรู้สึกว่าไกลมากก็เวลาปวดท้องหนักนี่แหละ ห้องน้ำจะอยู่ตรงที่มีป่าล้อมพอดีเลย อยู่ห่างจากที่พักประมาณ 300 เมตรได้ คว้าไฟฉายได้ ผมก็เดินจ้ำอ้าวไปปลดทุกข์ทันที พอจวนจะเสร็จธุระผมได้ยินเสียงคนเดินมาเข้าห้องน้ำ แต่ไม่ได้เข้าห้องน้ำนะครับ เสียงเหมือนคนใส่รองเท้าแตะเดินเหยียบใบไม้แห้งผมก็งงว่าห้องน้ำมีตั้งสามห้องทำไมไม่เข้า เสียงนั้นเดินไม่หยุดเลยเดินวนไปวนมา และเสียงนั้นก็หยุดอยู่ที่ห้องน้ำห้องหนึ่ง ผมรีบทำธุระแล้วรีบออกไปดู ปรากฏว่าห้องน้ำว่างเปล่าแล้วใครล่ะที่มาเดิน แค่นั้นแหละ ผมถือไฟฉายวิ่งป่าราบทันที ตอนเช้าเพื่อนแซวว่าใครวะถือไฟฉายวิ่งเมื่อคืน

Advertisement

Advertisement

บ่ายสองโมงสี่สิบนาทีของวันหนึ่ง เวลานี้ผมจำได้แม่นมาก วันนั้นเพื่อนๆหลายคนต้องเป็นตัวแทนหมู่ปืน ไปช่วยชาวบ้านในหมู่บ้าน ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้เฝ้าหมู่ปืนคนเดียว (อีกแล้ว) ผมนั่งจนหลับไปตอนไหนไม่รู้ รู้สึกตัวอีกทีตอนได้ยินเสียงดังก้องอยู่ในหูว่า “อย่าให้มันตื่น กดมันไว้อย่าให้มันตื่น กดไว้กดมันไว้” เสียงนั้นเป็นเสียงผู้หญิงดังอยู่ในหู ผมสะลึมสะลือลืมตาไม่ขึ้น แต่ผมพยายามปรือตาดูว่าอะไรกดที่ขาผม ผมมองเห็นเป็นสีเขียวๆซ่าๆเหมือนทีวีไม่มีสัญญาณ อยู่ตรงปลายเท้าผมขยับตัวไม่ได้เลยมันยิ่งกว่าคำว่าผีอำซะอีก มันรู้สึกเหมือนเป็นเหน็บชาทั้งตัว เหมือนจะตายเลยพยายามกระดิกนิ้ว พอผมกระดิกนิ้วชี้ได้อาการเหน็บชาแปลกประหลาดนั้นก็พลันหายไป ผมจึงพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่งหายใจหอบมองดูเวลาบ่ายสองโมงสี่สิบนาที

เข้าสู่เดือนที่เก้า ทุกเช้าช่วงประมาณตีสี่ ผมต้องเป็นตัวแทนหมู่ปืนลุกไปทำกับข้าวจ่ายตลาด เรื่องแปลกประหลาดคือ ผมจะได้ยินเสียงคนปลุกทุกๆตีสี่ทุกวัน เวลานี่ตรงเป๊ะมากๆ เสียงเรียกชื่อเรียกแค่รอบเดียว ผมก็จะสะดุ้งตื่นทันที พอมองไปก็ไม่เห็นมีใคร แรกๆก็คิดว่าเพื่อนแกล้ง แต่พอนานวันเข้า ก็เริ่มแปลกใจเลยจับพิรุธเพื่อน คือผมตื่นก่อนตีสี่ โดยไม่ให้เพื่อนรู้ว่าตื่นแล้วจะดูซิว่าจะมีใครเรียกมั้ย ปรากฏว่าไม่มีเสียงเรียกไม่มีเสียงอะไรทั้งนั้น คือถ้าผมตื่นก่อนตีสี่จะไม่มีเสียงเรียกใดๆเลยเสียงเรียกปลุกนั้นสิ้นสุดลงเมื่อคืนสุดท้ายมาถึง

มีคำสั่งเรียกกำลังพล กลับขึ้นไปประจำการที่กองพันตามเดิม หลังจากสถานการณ์ที่เขาพระวิหารตอนนั้นเริ่มปกติแล้ว คืนสุดท้ายที่ผมนอนคืนนั้น ไม่มีเสียงเรียกปริศนานั้นอีกเลย

ตอนเช้า กำลังพลทหารทุกนาย ก็พากันเก็บข้าวของทุกอย่างขึ้นรถทหารทุกนายขึ้นรถจนครบรถพร้อมเตรียมออกเพื่อนหนึ่งในนั้นหันมาพูดกับผมว่า

“มึงรู้มั้ยที่ๆเราไปเข้าเวรกันทุกคืนทุกคืนน่ะจริงๆแล้วมันเป็นป่าช้า”

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์