อื่นๆ

SAFEZONE = ห้องนิรภัย หรือ ห้องขัง?

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
SAFEZONE = ห้องนิรภัย หรือ ห้องขัง?
คนเรามีอะไรมากมายที่จะเอามาใช้เพื่อตอบสนองความต้องการนะ เพียงแต่บางทีคนเราก็ใช้มันมากจนเกินไป ข้อดีกลายเป็นข้อเสีย ซึ่งมันก็เปลี่ยนแปลงมุมมองต่อเรื่อง ๆ นั้นไปเลย

เมื่อคนเราเลือกสิ่งหนึ่งมาให้ตัวเอง เราก็จะสูญเสียอย่างอื่นไปด้วยเสมอ

ระหว่างยืนอยู่หน้าตู้แช่อาหารเย็นของร้านสะดวกซื้อชื่อดัง ในใจก็ได้เถียงกันว่า "จะกินอะไร?" เพราะดันอยากกินทั้ง 2 อย่างที่เห็น แต่ด้วยสภาพการเงินทำให้ต้องเลือกกินแค่อย่างเดียว และหลังจากการถกเถียงภายในใจจบลง ก็ได้เลือกหยิบตัวเลือกแรก และปล่อยตัวเลือกที่สองให้มองผมด้วยความเสียดายอยู่บนชั้นวางนั่นแหละ (ใครกันแน่ที่เสียดาย ฮือ)


จากนั้นกลับมานั่งที่บ้านแล้วเปิดหนังเรื่องหนึ่งดูระหว่างกินของที่ซื้อมา ก็ดันไปเห็นว่าตัวละครในเรื่องซื้อปืนเพื่อเอามาพกเก็บไว้ ดูแล้วเขาตั้งใจทำแบบนั้นจริง ๆ แหละ พอดูไปเรื่อย ๆ ก็เกิดเห็นว่าเจ้าตัวดันไปมีเรื่องกับเพื่อนข้างบ้านที่ไม่ถูกชะตากัน จังหวะนั้นแหละที่ปืนป้องกันเปลี่ยนเป็นปืนหาเรื่องทันที เจ้าตัวยิงเพื่อนบ้านจนเสียชีวิตแล้วก็โดนจับไปดำเนินคดีด้วยข้อหาพยายามฆ่า

Advertisement

Advertisement

บางอย่างมีประโยชน์ถ้าเรารู้จักใช้มันให้ถูกจังหวะ และใช้มันแต่พอดี หากใช้มันมากไป บ่อยไป มันอาจทำให้เราพลาดสิ่งที่ดีกว่า หรือแย่กว่าโดยที่เราไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ

หลังดูหนังจบก็นั่งไถจอมือถือต่อจนได้เห็นน้องคนหนึ่งกำลังพูดถึงเรื่อง SAFEZONE ของตัวเองเกี่ยวกับความสัมพันธ์ต่อผู้อื่น ว่าตัวเองยังกลัวการมีความรักอยู่ เพื่อนของเขาก็เข้าไปให้กำลังใจแล้วเชียร์ให้ก้าวเดินต่อไปจะได้เจอคนที่ดี แต่ประเด็นนั้นก็ไม่มีอะไรมาการันตีให้เจ้าตัวได้ว่าถ้าเดินต่อจะเจอคนแบบไหนรออยู่

จึงเป็นเนื้อหาที่อยากพูดถึงในวันนี้ กับ SAFEZONE ของความรู้สึก
เมื่อคนเราเลือกที่จะหลบเพื่อกันเรื่องร้าย (และเรื่องดี ๆ ไปพร้อมกัน)(ขอบคุณภาพ)

SAFEZONE ของจริง กับ SAFEZONE ด้านความรู้สึกเนี่ยมันแตกต่างกันอยู่ครับ เป็น SAFEZONE ที่มองคร่าว ๆ แล้วของหลายคนอาจจะเหมือนกัน แต่ถ้าลองมองให้ลึกลงไปจนถึงระดับจิตใต้สำนึกเนี่ย มันมีปัจจัยที่บอกความแตกต่างนั้นอยู่ครับ ถ้าตีเป็นตัวเลขก็เช่น บางคนมี SAFEZONE ที่กว้างสัก 30% แต่อีกคนมีที่กว้าง 50% ซึ่งพื้นที่จะมากจะน้อยก็ไม่ได้มีแค่ปัจจัยมาจากเหตุการณ์ ๆ เดียวเสมอไป

Advertisement

Advertisement

ปัจจัยที่ทำให้พื้นที่ SAFEZONE ในใจคนเราเพิ่มหรือลด ส่วนหนึ่งมาจากเหตุการณ์ที่เราประสบครับ รวมถึงรายละเอียด และความซับซ้อนของเหตุการณ์ที่เจอ ความรู้สึกของเราต่อเหตุการณ์นั้นเป็นแบบไหน ความสะเทือนใจมีแค่ไหน แล้วในตอนนั้นเราแสดงออกอย่างไร โกรธ โมโห ร้องไห้ ใช้ความรุนแรง ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นปัจจัยในการทำให้พื้นที่ SAFEZONE ของคนเราเปลี่ยนแปลงได้ทั้งสิ้นเลย

เคส A
- ผมเลิกกับแฟนเพราะแฟนผมมีคนใหม่ พอรู้เรื่องผมรู้สึกเสียใจมาก ผมโกรธที่แฟนหักหลัง ผมกินข้าวไม่ลง ผมอยากตาย ผมได้แต่ร้องไห้ฟูมฟายไปวัน ๆ ด้วยความเสียใจ ผมสูญเสียความกล้าที่จะมอบความไว้ใจให้ใครอีกต่อไป หลังจากนั้นผมจึงหลีกหนีจากทุกความรู้สึกหรือทุกเหตุการณ์ที่อาจทำให้ผมอยากมีความรัก มีคนมาคุยบ้างเหมือนกันแต่ผมก็พยายามไม่ลงไปลึกมาก ผมกลัวจะต้องเสียใจอีก

Advertisement

Advertisement

เคส B

- ผมเลิกกับแฟนเพราะเราหมดรักกัน ลดสถานะมาเป็นเพื่อนกัน ให้โอกาสกันและกันในการเดินหน้าต่อไป ผมรู้สึกเจ็บปวดแต่มันเป็นความเจ็บปวดที่เราเตรียมใจจะยอมแบกรับมันไว้แต่แรก ผมเลยไม่รู้สึกทรมานหรือเสียใจมากนัก รู้สึกขอบคุณด้วยซ้ำที่วันหนึ่งเขาเลือกผม หลังจากนี้ไปผมยินดีจะใช้ข้อดีของตัวเองทำให้คนที่รู้สึกตรงกันคนต่อไปได้มีความสุข หรือบางทีผมอาจจะไม่คิดเรื่องนี้แล้วรอให้ถึงเวลาของมันก็ได้เหมือนกัน

แม้เราจะมีทางเลือกมากมาย แต่เราก็สามารถเลือกได้ ครั้งละ 1 ทาง(ขอบคุณภาพ)

ท่านผู้อ่านสังเกตเห็นอะไรกันบ้างครับจากทั้งเคส A และ B ผมจะสรุปให้ครับ

คนเรานั้นเมื่อเกิดปัญหา ก็จะเกิดกระบวนการมากมายในสมองที่เกิดขึ้นไวมากจนเราไม่ทันได้เคยหยิบมันมาดูว่า กว่าเราจะแสดงออกหรือกระทำอะไรสักอย่าง เราผ่านกระบวนคิด ตัดสินใจแบบไหนมาบ้าง ความเป็นไปได้ที่เราจะทำแบบ A แต่เจอเรื่องแบบ B ก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน อยู่ที่ว่าเราเลือกจะใช้วิธีแบบไหน เราจะกลับเข้าไปอยู่ใน SAFEZONE นานแค่ไหน หรือว่าเราอยากจะขยาย SAFEZONE ให้กว้างเพื่อป้องกันตัวเองจากความเจ็บปวด สุดท้ายก็อยู่ที่คนเราจะเลือกตัดสิน "ตามความต้องการของตัวเอง"

เราอาจได้รับรู้ประสบการณ์ของคนอื่น วิธีการของคนอื่น เราอาจลองทำตาม บ้างก็ดี บ้างก็ไม่โอเค ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ เพราะว่าบางสิ่งที่ใช้ได้ผลกับคนอื่น มันอาจไม่ได้ผลกับเราเสมอไป เพราะตัวตนของเรานั้นมีปัจจัยที่ต่างกันอยู่แล้ว ทำไม A ถึงไม่กลัวคนต่อไปจะหมดรัก ทั้งที่ A ไม่ได้รู้เลยว่าอนาคตจะเป็นยังไง หรือแม้แต่ B ที่กลัวความรักไปแล้ว แต่ในเมื่อความต้องการพื้นฐานของมนุษย์คือการได้รับความรัก ก็อาจจะมีสักวันที่เขาออกมาจาก SAFEZONE ก็เป็นได้

เมื่อคนเราตัดสินใจลุกขึ้นเดินต่อ เมื่อนั้นหัวใจของเราจะเข้มแข็งขึ้น(ขอบคุณภาพ)

การมี SAFEZONE เพื่อป้องกันตัวเองจากความรู้สึกเลวร้ายทั้งหลายเป็นสิ่งที่ทุกคนมีและทำกันอยู่แล้วครับ

เพียงแต่อย่างที่ Quote ด้านบนสุดที่ผมได้เขียนเอาไว้ด้วยตัวเอง ก็เป็นอีกความจริงเช่นกัน การอยู่ใน SAFEZONE นานจนเกินไป อาจทำให้เราพลาดสิ่งดี ๆ ที่เราควรจะได้รับไป การออกจาก SAFEZONE ไม่ได้อาศัยอนาคตที่ดีเป็นตัวล่อ แต่เราอาศัยความกล้าในใจ อาศัยความโหยหาในสิ่งที่จะเติมเต็มให้เรา เป็นแรงที่ทำให้เราค่อย ๆ ลุกขึ้นแล้วก้าวออกมาค้นหาสิ่งดีให้ตัวเอง มันอาจจะเจ็บอีกครั้ง ล้มอีกครั้ง แต่คนที่ยังเดินหน้าต่อไปก็จะเติบโตขึ้น เก่งขึ้น

อย่าปล่อยให้ SAFEZONE กลายเป็นห้องขัง ที่ปิดกั้นหัวใจเราจากผู้อื่น แม้บางเวลาเราจะรู้สึกดีที่ไม่มีคนกวนใจ แต่เชื่อเถอะครับสักวันความเหงาจะทำให้เราต้องมาถามตัวเองว่า "ฉันจะลุกออกไปจากตรงนี้ดีไหม?" อยู่แล้ว ความต้องการพื้นฐานของมนุษย์เนี่ย ความรักเป็นอันดับต้นเลยครับ ไม่มีใครอยากโดดเดี่ยวแม้จะชอบการอยู่คนเดียว ไม่มีใครที่มองมาที่ตัวเองแล้วพูดอย่างมีความสุขว่า "ฉันไม่ต้องมีใคร ฉันก็อยู่ได้" เพราะสุดท้ายแล้วเราอาจกำลังพยายามขังตัวเองจากความเป็นไปได้อื่น ๆ อีกมากเลยครับ

สำหรับวันนี้ ขอบคุณที่อ่านกันจนจบครับ

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์