อื่นๆ

ห้องแห่งความลับ

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ห้องแห่งความลับ

.. ภาพโดย Matthias_Groeneveld จาก https://pixabay.com/th/photos/2135597/

เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของคุณภูมิครับ คุณภูมิได้เจอกับเหตุการณ์นี้ด้วยตัวเองเมื่อสิบกว่าปีก่อน เรื่องราวมีอยู่ว่าสมัยที่คุณพ่อยังมีชีวิตอยู่คุณพ่อมีอาชีพค้าขายของเก่า แต่คุณภูมิไม่ได้สนใจธุรกิจของพ่อมากนัก รู้แค่เพียงว่าสินค้าส่วนใหญ่จะถูกเก็บไว้ ที่โกดังหลังบ้านซึ่งปิดล็อคแน่นหนา แต่ไม่ใช่แค่โกดังหลังบ้านเท่านั้นนะครับ ยังมีบางสิ่งที่ถูกเก็บรักษาไว้ในห้องปิดตายอยู่ที่ชั้นบนสุดของบ้านซึ่งมีผ้ายันต์จากเกจิอาจารย์แปะไว้เต็มไปหมด คุณพ่อบอกเพียงว่าห้ามเข้าไปในห้องนี้โดยเด็ดขาด และตั้งแต่จำความได้คุณภูมิเองก็ไม่เคยเห็นคุณพ่อเข้าไปในห้องนั้นเช่นกัน มาถามหาเหตุผลคุณพ่อก็ไม่เคยตอบเลยสักครั้ง จนสุดท้ายเขาจึงเลิกถามไปเอง กลายเป็นความเคยชินที่ทำให้ไม่ได้สนใจห้องนั้นอีกเลย กระทั่งเมื่อราว 10 ปีก่อนคุณพ่อของคุณภูมิป่วยหนัก วันหนึ่งขณะที่เฝ้าไข้ที่โรงพยาบาล คุณภูมิได้ถามถึงเรื่องห้องปิดตายนั้นอีกครั้ง และคราวนี้คุณพ่อก็ยอมตอบ ท่านบอกเพียงว่าห้องนั้นเก็บรักษาความลับที่ไม่ควรมีคนรู้เป็นสิ่งที่ไม่สมควรมีอยู่บนโลกใบนี้ พร้อมกับบอกว่าเมื่อไหร่จะได้ออกจากโรงพยาบาลคราวนี้ท่านจะเผามันให้สิ้นซาก แต่วันนั้นมันก็ไม่เคยมาถึง

Advertisement

Advertisement

เมื่ออาการของท่านยิ่งทรุดหนักลงเรื่อยๆ จนในที่สุดคุณพ่อของคุณภูมิก็จากโลกนี้ไป คุณภูมิเล่าว่าตอนนั้นเขาได้ยินเสียงหัวเราะแหลมสูงฟังดูประหลาด กับลมเย็นเฉียบที่พัดวูบเข้ามา แต่เมื่อถามหมอกับพยาบาลที่อยู่ในห้องด้วยกันแล้วก็พบว่ามีเพียงคุณภูมิเพียงคนเดียวที่สัมผัสสิ่งนั้นได้ หลังจากคุณพ่อเสียชีวิตคุณภูมิก็คิดถึงห้องปิดตายห้องนั้นขึ้นมา แวบแรกเขาคิดถึงคำพูดของผู้เป็นพ่อว่าจะกลับมาเผามันทิ้ง ถ้าเกิดความอยากรู้อยากเห็นกับมีมากกว่าคุณภูมิจึงตัดสินใจขัดคำสั่งของพ่อและเรียกช่างมาตัดแม่กุญแจและโซ่หนาที่คล้องห้องไว้ออกไปเสีย ทีแรกช่างตัดกุญแจก็ปฏิเสธเพราะเห็นแผ่นผ้ายันต์ที่แปะอยู่หน้าห้อง ช่างเองจะเป็นคนแถบภาคอีสานจึงคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี แกบอกว่ามันคือยันต์สะกดวิญญาณใช้กดพลังอาฆาตของผีตายโหง ไม่ให้ออกมาสร้างความเดือดร้อน

Advertisement

Advertisement

แต่ว่าคุณภูมิในตอนนั้นไม่เคยเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ จึงยังยืนยันคำเดิม หลังจากเจรจากันอยู่นานช่างกุญแจเสนอให้นิมนต์พระ มาทำพิธีปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายเสียก่อน หลังจากนั้นจึงยอมตัดสายโซ่ให้ ห้องน้ำเป็นเพียงห้องไม้เก่าๆ ไม่มีเครื่องเรือนเลยสักชิ้น มีเพียงกระดาษไขแผ่นใหญ่ปิดทับไว้ที่ผนังด้านหนึ่ง คุณภูมิจึงค่อยๆแกะมันออกอย่างระมัดระวัง กระดาษไขใบนั้นหลุดออกมามากเท่าไหร่ยิ่งรู้สึกว่าบรรยากาศในห้องมันเริ่มอึดอัดมากขึ้น เหมือนมีอากาศมากดทับจนเขาแทบหายใจไม่ออก ลมหวีดหวิวที่พัดโกรกเข้ามาในห้องรวมตัวกันคล้ายเสียงร้องไห้ของยายแก่ผสมกับเสียงแหลมสูงที่กำลังร้องระงม พยายามจะปิดกระดาษใบนั้นกลับไปที่เดิม  แต่เขากลับไม่สามารถหยุดการกระทำของตัวเองลงได้ ในที่สุดก็ได้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่หลังกระดาษแผ่นนั้น มันคือแผ่นหนังที่ถูกแต่งแต้มไปด้วยสีสันต่างๆ ที่เริ่มซีดจางไปตามกาลเวลา แต่ยังพอมองออกว่าเป็นรูปบ้านเล็กๆ หลังหนึ่ง มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาอยู่กลางลานบ้าน ที่ใต้ต้นไม้มีหญิงชายคู่หนึ่งยืนเคียงกัน ในอ้อมกอดของหญิงสาวเหมือนจะอุ้มบางสิ่งไว้ รูปบนหนังนั้นให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด อีกทั้งยังเต็มไปด้วยห้วงอารมณ์ที่แรงกล้าเพียงแค่จ้องมองก็รู้สึกได้ถึงความโศกเศร้าและเคียดแค้นรุนแรงปั่นป่วนอยู่ในใจไปหมด ..

Advertisement

Advertisement

ภาพโดย geralt จาก https://pixabay.com/th/photos/741505/

คุณภูมิจึงตัดสินใจนำภาพวาดนั้นออกมา แล้วนำไปแขวนไว้ที่ห้องรับแขกกลางของบ้านและจัดแจงทำความสะอาดห้องปิดตายนั้นเอาไว้ใช้ประโยชน์อะไรต่อในอนาคต ทุกอย่างดูเหมือนว่าจะดำเนินไปตามปกติ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาสังเกตว่าสีแดงบนผืนหนังนั้นมันดูเข้มและขยายกว้างมากขึ้น ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นเพราะสภาพอากาศที่ร้อนชื้นของฤดูฝนจึงสั่งให้ช่างมาทำกรอบกระจกใส่ครอบไว้แต่ก็ไร้ผล วงสีแดงนั้นกับขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สีเข้มขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นสีแดงคล้ำดูคล้ายสีของเลือด คุณภูมิรู้สึกไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขารีบเปิดกรอบกระจกออกมาแต่ ปรากฏว่ามีกลิ่นเหม็นเน่า โชยฟุ้งออกมาจนเขาแทบอาเจียน ไม่รู้ว่าเป็นอุปทานหรือไม่ แต่เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความตายที่มันลอยวนเวียนอยู่หน้าขนาดนั้น คุณภูมิรวบรวมความกล้าเอานิ้วมือไปสัมผัสกับสีแดงที่กำลังแผ่ขยายของเหลวที่ติดนิ้วเขาขึ้นมามีกลิ่นเหม็นคาวที่คุ้นเคยมันคือกลิ่นของเลือด ทันใดนั้นปรากฏดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองออกมาจากภาพนั้นพร้อมกับรอยเลือดที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีดำส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งและค่อยๆ หยดลงมาที่พื้นหนังแผ่นนั้นเริ่มปวดเกร็งก่อนจะบิดไปบิดมาราวกับมีชีวิต

เหมือนคนที่กำลังดิ้นไปดิ้นมาด้วยความทรมาน หูของคุณภูมิได้ยินเสียงกรีดร้องผสมกับเสียงท่องมนต์คาถา มันไปด้วยความรู้สึกเครียดแค้นและนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่คุณภูมิสัมผัสได้ ก่อนจะหมดสติไป และเขาก็ฝันร้าย คุณภูมิจำความฝันคราวนั้นไม่ได้แต่สิ่งที่พอจะนึกออกในห้วงความทรงจำก็คือเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังกรีดร้องอย่างทนทุกข์ทรมานคือการเข้ามาหาคุณภูมิพร้อมกับมือที่เหี่ยวแห้งคู่นั้นพยายามยกขึ้นไขว่คว้า ใบหน้าของอีกฝ่ายให้ความรู้สึกคุ้นเคยไป อย่างมาก แต่ยังไม่ทันจะได้สังเกตอย่างละเอียดก็มีควันสีดำพุ่งขึ้นมาแล้วฉุดกระชากผู้หญิงคนนั้นลงสู่ใต้พื้นดิน ก่อนจะฉีกถึงร่างของเธอออกเป็นเสี่ยง คุณภูมิกลัวสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันทีและพบว่าผืนหนังปริศนานั้นยังอยู่ในกรอบบนกำแพงเช่นเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุณภูมิรวบรวมความกล้าแล้วเดินเข้ามาดูใกล้ๆถึงกับต้องใจหายมากยิ่งกว่าเดิม   เพราะเลือดที่แผ่ขยายนั้นมันได้หายไปแล้วพร้อมกับหญิงสาวบนภาพวาด เหลือเพียงจุด 9 สีแดงสดจุดเล็กๆ คล้ายดอกไม้สีแดงกำลังผลิบาน วันรุ่งขึ้นคุณภูมิจึงรีบเดินทางไปที่วัดเพื่อทำบุญให้กับหญิงสาวคนที่ฝันเห็นนั้น หลังจากถวายสังฆทานเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาจึงตัดสินใจถามพระชราเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ท่านตอบว่าวิญญาณตนนั้นมีความผูกพันบางอย่างกับคุณภูมิและไม่ได้จะมาทำร้าย คำแนะนำว่าให้หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับหญิงสาวในภาพวาดนั้น คุณภูมิพยายามถามต่อท่านก็ไม่ยอมตอบอะไรอีก ด้วยความสงสัยที่อัดอั้นอยู่ในใจคุณภูมิ ช่างคนนั้นจึงแนะนำคนรู้จักซึ่งเป็นหมอผีผู้เชี่ยวชาญ เอาหนังให้หมอผีตรวจสอบสิ่งที่หมอผีคนนั้นพูดทำให้คุณภูมิตกใจจนแทบสิ้นสติ พื้นหลังแผ่นนั้นมันไม่ใช่หนังสัตว์อย่างที่เข้าใจแต่มันคือหนังของมนุษย์ซึ่งถูกถลกออกมาทั้งเป็น และทำพิธีกักขังวิญญาณสาปแช่งไม่ให้ได้ไปผุดไปเกิด คุณภูมิเลยนึกถึงคำพูดพ่อก่อนสิ้นใจว่าจะเผาคิดได้ดังนั้นคุณภูมิเลยนำแผ่นหนังผืนนั้นไปเผาไฟทุกสิ่งก็อันตธานไปหมด

ภาพโดย sahasrawool จากhttps://pixabay.com/th/photos/2197606/
..

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์