อื่นๆ

กลับดึก

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
กลับดึก

สวัสดีครับ เรื่องราวชวนขนหัวลุกที่ผมจะเล่าต่อไปนี้นั้น เพิ่งเกิดขึ้นกับผม ซึ่งในวันศุกร์นั้นผมขอลาหยุดล่วงหน้าเพื่อจะได้หยุดยาว 3 วัน และพาแม่ไปเที่ยวพักผ่อน ส่วนวันพฤหัสบดี ผมจึงทำงานล่วงเลยเวลามากกว่าที่เคยทำมาก่อนตั้งแต่มาทำงานที่นี่  ที่ทำงานของผมนั้นอยู่ติดกับถนนเส้นทางหลัก และเป็นเพราะผมขี่มอเตอร์ไซค์มาทำงานเป็นประจำ ทำให้ค่อนข้างลำบากเวลาขี่รถบนถนนใหญ่ที่มีรถเยอะ ๆ อีกทั้งที่ ๆ ผมพักอยู่นั้นก็อยู่ฝั่งเดียวกับที่ทำงาน ทำให้เวลากลับออกจากที่ทำงานจำเป็นต้องวิ่งเข้าซอย และลัดออกมาอีกซอยนึง เพื่อออกถนนใหญ่ ขึ้นสะพานกลับรถไปอีกฝั่ง แล้วถึงจะกลับมาฝั่งเดิมได้ ขาไปทำงานก็สะดวกรวดเร็วดี ส่วนขากลับก็จะใช้เวลาเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกนิดหน่อย วันพฤหัสบดีนั้นเป็นวันที่ผม และเพื่อนร่วมงานอีกประมาณ 3 คน อยู่ทำงานด้วยกันจนดึกดื่น เป็นงานด่วนที่หัวหน้าสั่ง ต้องส่งให้ทันภายในวันศุกร์ เพื่อนร่วมงานก็ต้องช่วยกันรีบทำ กว่างานจะเสร็จก็ประมาณตี 1 กว่า ๆ แล้ว หลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันกลับ โดยมีผมคนเดียวที่ขี่มอเตอร์ไซค์ ส่วนคนที่เหลือก็กลับแท็กซี่กันครับ เป็นเรื่องปกติที่ผมต้องเข้าซอยที่เลยจากด้านหน้าที่ทำงานมาเล็กน้อย เพื่อลัดออกไปทางถนนใหญ่ที่จะตรงไปเจอสะพานกลับรถได้  คืนนั้นฝนตกลงมาพรำ ๆ นิดหน่อยก่อนที่ผมจะกลับ  ทำให้ถนนค่อนข้างแฉะ ประกอบกับการเป็นคนที่ผมขี่รถตามอารมณ์ แล้วตอนนั้นผมก็ง่วงมากด้วย ทำให้การขี่มอเตอร์ไซค์ของผมนั้นช้ากว่าปกติ แถมกระจกมองข้างด้านซ้ายของผมก็โดนคนที่หอพักบิดเล่นอยู่บ่อย ๆ จนเวลาหมุนกลับมาที่เดิมทีไรพอรถสะเทือนนิดหน่อยมันก็จะหมุนออกไปทุกที ซึ่งผมยังไม่มีเวลาไปซ่อม ทำได้แค่เพียงหมุนตัวน๊อตที่ยึดกระจกไว้ขณะที่ขี่รถอยู่เรื่อย ๆ นั่นยิ่งทำให้ผมขี่รถลำบากขึ้นมากเวลาจะต้องมองกระจกซ้าย ตอนที่ผมขี่รถเข้าซอยไปนั้น เป็นเรื่องธรรมดาที่ซอยนั้นจะเงียบสนิทและไม่มีรถวิ่งเลย เพราะเวลานั้นมันก็ดึกมากแล้ว ผมขี่รถเข้าซอยไปเรื่อย ๆ พยายามหาเรื่องคิดหรือฮำเพลงไปด้วย เพื่อไม่ให้ตัวเองหลับ ประกอบกับความรู้สึกหวั่น ๆ ที่กลัวทั้งคนและผีในเวลาเดียวกัน ขณะที่ขี่รถไปได้สักพัก ผมก็นึกขึ้นได้ว่าอีกไม่นานจะถึงทางที่ไม่มีไฟข้างทางแล้ว ซึ่งปกติตอนที่ผมกลับจะเป็นช่วงเวลาหัวค่ำเท่านั้นยังคงมีรถผ่านไปผ่านมาให้ผมมองเห็นพอเป็นแสงไฟได้บ้าง แต่ตอนนี้มันตี 1 กว่า ๆ มันเงียบสนิท แม้แต่หมาจรจัดที่ผมเคยเห็นอยู่ข้างถนนก็ไม่มีโปรมาสักตัว ความง่วงทำให้ผมคิดเรื่องในหัวไม่ค่อยออกสักเท่าไหร่ จะจอดรถข้างทางแล้วใส่หูฟังเปิดเพลงตอนนี้ก็คงจะไม่เหมาะนัก เพราะถนนนั้นทั้งเงียบและมืด ไฟข้างทางนั้นส่องเว้นระยะช่วงไกล ไม่เหมาะทำอะไรข้างทางที่ต้องใช้เวลา ผมขี่รถไปเรื่อย ๆ ใจหวังให้ถึงปากทางเลี้ยวออกจากซอยเร็ว ๆ ตอนนี้ถึงแม้ว่าผมจะง่วงมาก เรื่องคนกับผีก็ยังวนเวียนอยู่ในหัวผม เมื่อมาถึงทางช่วงที่ไม่มีไฟนั้น ซึ่งผมคิดว่ากินระยะทางประมาณเกือบ 1 กิโลเมตรน่าจะได้  มันเป็น 1 กิโลเมตร ที่ผมรู้สึกเสียวสันหลัง และหวั่นใจมากที่สุด ผมขี่รถเลยป้อมยามหน้าหมู่บ้านที่มีไฟสว่างดวงสุดท้ายมาแล้ว เหลียวไปมองผ่าน ๆ ก็เห็นว่ายามแกหลับอยู่ จึงหันกลับมามองทางต่อ ผมขับเลี้ยวซ้ายไปตามทาง ซึ่งตอนที่เลี้ยวนั้นผมรู้สึกเห็นเงาอะไรบางอย่าง มันวิ่งผ่านให้พ้นแสงไฟไป ก่อนที่รัศมีของไฟหน้ารถจะส่องไปถึง ผมพยายามคิดว่ามันคงไม่มีอะไร และคิดว่าตัวเองคงจินตนาการไปเอง เพราะขี่รถมาในทางมืด ๆ คนเดียวเป็นใครจะไม่คิดบ้าง อีกอย่างผมก็เปิดไฟสูงตลอดเวลาที่ขี่รถในทางที่มืด ๆ ถ้าจะมีอะไรอยู่ด้านหน้าผมต้องเห็นล่วงหน้าอยู่แล้ว พอพ้นทางช่วงหมู่บ้านนั้นมาได้ ความง่วงของผมก็เริ่มหายไปเล็กน้อยแต่สติก็ยังไม่เต็มร้อยอยู่ดี ตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองใช้เวลานานกว่าทุกวันในการขี่รถผ่านทางนี้ เพราะถัดจากหัวโค้งมุมซ้ายมา ผมก็ต้องเจอกับทางตรงยาวที่มืดสนิท ผมขี่ผ่านทางตรงมาได้สักระยะหนึ่ง เห็นแสงไฟของรถคันหน้าก็แอบรู้สึกดีใจที่มีรถใหญ่ส่องนำทางให้ แต่รถคันนั้นก็เร่งเครื่องเร็วเสียจนผมตามไม่ทัน ทำไห้ผมอยู่คนเดียวอีกครั้งบนถนนมืด ๆ
ภาพถ่ายของผู้เขียน จู่ ๆ ผมก็ต้องเบรกรถกะทันหัน เพราะสิ่งที่เห็นตรงหน้าเมื่อกี้นี้นั้น มันทำให้ผมหายง่วงในทันที ผมเห็นคนกำลังคลาน 4 ขา แล้วกระโดดข้ามถนนไป ผมขนลุกตั้งไปทั้งตัว รู้สึกหัวใจเต้นแรงกว่าปกติ ก่อนที่จะรีบรวบรวมสติแล้วขยับกระจกข้างให้หมุนกลับมาที่เดิม ใจผมเต้นแรงเสียจนรู้สึกว่ามันจะดันออกมานอกอก ผมขี่รถต่อไปได้แป๊บนึงก็นึกได้ว่าทางข้างหน้าคือทางที่มีต้นไทรต้นใหญ่ซึ่งเป็นต้นไม้ที่มีคนเอาผ้าเจ็ดสีมาผูกไว้ และเอาชุดไทยมาถวาย ระหว่างที่คิดผมก็ขนลุกขึ้นอีกรอบ ในใจภาวนาขอให้ทุกอย่างเป็นเพราะผมกำลังกลัวและคิดไปเอง ผมสายหน้าเพราะหลับไปเพียงไม่ถึงเสี้ยววินาที ปรากฏว่ารถสบัดล้มลง ทั้งคนทั้งรถแยกไปคนละทาง หนักกว่าเมื่อสักครู่นี้อีก เพราะสิ่งที่ผมเห็นตอนลืมตาขึ้นมา คือร่างของคนผอมแห้งกำลังปีนเสาไฟฟ้าข้างทางอยู่  ผมนอนนิ่งอยู่สักแป๊บ รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดจากการล้มรถ ความรู้สึกตอนนั้นมันทั้งเจ็บทั้งกลัว และเริ่มจะสติแตก ผมรีบดันตัวเองให้ลุกขึ้นแล้วรีบเดินไปที่รถ แล้วยกรถขึ้นมา ตอนนี้กระจกรถของผมข้างที่หลวมนั้น ไม่สามารถที่จะทำให้มันล็อคนิ่งได้แล้ว ผมมองไปตามถนนด้านหน้า เห็นแสงไฟจากป้อมตำรวจ ที่อยู่ตรงแยกไม่ไกลนัก จึงตัดสินใจคร่อมรถอีกครั้งแล้วสตาร์ทรถเตรียมออกตัวทันที ผมปรับกระจกข้างอีกเล็กน้อย
ภาพของผู้เขียน ทันใดนั้นก็มีเสียงวิ่งมาจากทางด้านหลัง กระจกข้างที่ผมมองเห็น สะท้อนเงาลาง ๆ ของร่างผอมบางเมื่อสักครู่นี้ วิ่งเข้ามาทางด้านหลังผม  ผมตกใจรีบบิดรถออกไป โดยไม่ได้ชะลอดูว่าถนนข้างหน้านั้นจะมีลูกระนาดสูงแค่ไหน  มีแต่ความกลัวกับสติที่ประจวบกระเจิง  ผมขี่รถไปจอดที่ป้อมตำรวจที่เห็นข้างหน้า ลงจากรถแล้วรีบวิ่งไปด้านหน้าป้อม ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่สักคน เป็นป้อมร้างที่เปิดไฟหลอกไว้เฉย ๆ ผมรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก็เห็นว่าหน้าจอมันแตก คงเพราะรถล้มเมื่อกี้แน่ ๆ  ผมรีบกดเบอร์โทรหาแม่ แต่แม่ก็ไม่รับสาย คงเป็นเพราะว่าดึกมากแล้ว ผมแค่จะกลับห้องไปนอนพักผ่อน จึงสวดมนต์อยู่พักใหญ่ ก็เริ่มควบคุมสติตัวเองได้ เลยเดินกลับไปที่รถ ระยะทางห่างกันไม่กี่ก้าว แต่ผมก็รู้สึกว่ามีคนเดินตามหลังมา ผมหยุดยืนตัวแข็งทื่อ ท่องบทสวดมนต์อีกรอบ คราวนี้กลับรู้สึกว่ามีลมพัดหนัก ๆ สัมผัสลงมาที่คอผมเป็นระยะ ๆ ผมหยุดจินตนาการไม่ได้ และนั่นทำให้ผมสติแตกอีกรอบนึง ผมลืมตาขึ้นและคร่อมรถก่อนจะสตาร์ทแล้วรีบขี่ออกมาจากป้อมตำรวจตรงนั้น พอขี่รถมาได้สักพักก็เจอถนนที่มีแสงไฟ ซึ่งเป็นช่วงถนนที่มีร้านสะดวกซื้ออยู่ ผมจอดรถแล้วนั่งพักเพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเอง เมื่อลองสำรวจตัวเองก็พบว่า ที่แขนมีรอยแผลเล็กน้อย และมีรอยช้ำ 2-3 ที่ โชคดีที่ผมใส่กางเกงขายาว ส่วนรถของผมนั้นวางท่อ และกระจกรวมถึงสีด้านข้างก็ถลอกไปตาม ๆ กัน ในตอนนั้นจากที่ผมทั้งเหนื่อยทั้งง่วงและอ่อนเพลียจากการทำงาน กลับกลายเป็นว่าร่างกายตื่นตัวเต็มที่ ทั้งตื่นเต้นตกใจแล้วก็กลัวผสมรวมกันไปหมด ผมนั่งลงที่ริมฟุตบาทได้ไม่นาน ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินมาใกล้ ๆ แล้วถามผมว่า น้องที่รถล้มเมื่อกี้หรือเปล่า ผมเงยหน้ามองพี่ผู้ชายคนนั้นด้วยความรู้สึกไม่เข้าใจ "เมื่อกี้พี่ผ่านทางนั้นหรือครับ" พี่คนนั้นมองหน้าผมเหมือนรู้สึกผิด "ใช่ โทษทีนะพี่ไม่ได้เข้าไปช่วย" ผมได้แต่เงียบไม่พูดจาอะไร รู้สึกโกรธขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่ก็พยายามไม่แสดงออก "น้องคงไม่ใช่คนแถวนี้ใช่ไหม เพราะคนแถวนี้ไม่มีใครเขาผ่านทางนั้นกันหลังเที่ยงคืนหรอกหรอก"  ผมมองหน้าพี่คนนั้นทั้ง ๆ ที่ยังรู้สึกโกรธอยู่ไม่น้อย แต่ก็นึกสงสัยในสิ่งที่เขาพูดอยู่ด้วย "เจ้าแม่ต้นไทรนั่นไงเย็นจนตำรวจเข้าป้อมตอนกลางคืนยังไม่กล้าอยู่เลย"  ครับ! ผมลุกขึ้นรับคำสั้น ๆ ได้แต่ไม่ปลอบใจตัวเองว่าดวงคงจะตก เจอผีหลอก  รถล้ม  แล้วก็คนแล้งน้ำใจอีก  ผมลุกขึ้นคร่อมรถ แล้วขี่รถกลับหอพักทันที เมื่อถึงหอพักผมก็จัดการอาบน้ำแล้วทำแผลให้ตัวเอง คิดว่าจะเอารถไปซ่อมตอนไหนดี จนเผลอหลับไปภาพโดยผู้เขียน

Advertisement

Advertisement

ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เที่ยงแล้วรู้สึกเมอยไปทั้งตัว โทรหาแม่และเล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่ฟัง จากที่ผมจะต้องกลับบ้านไปเยี่ยมแม่กลายเป็นแม่ต้องมาเยี่ยมผมแทน เพราะผมนั่งรถกลับไปไม่ไหว หลังจากคุยกับแม่เสร็จ ผมก็ลุกขึ้นอาบน้ำแล้วเตรียมตัวจะออกไปหาอะไรกิน เพื่อนร่วมงานของผมก็โทรมาคุยเรื่องงานพอดี บทสนทนาเริ่มจากเรื่องงานจนจบเรื่องไป ผมก็ถือโอกาสเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เพื่อนร่วมงานได้ฟัง ก็ได้เรื่องว่าทางที่ผมกลับไปเป็นประจำนั้น ตอนกลางคืนดึก ๆ จะไม่มีใครกล้าผ่านกันสักคน ถ้าไม่ใช่คนแถวนั้นก็จะไม่รู้ว่าเป็นทางสามแพร่งที่เฮี้ยนมาก ๆ ซึ่งเมื่อก่อนไม่เฮี้ยนขนาดนี้ แต่พอมีคนเอาของดำมาแอบทิ้งไว้ ช่วงกลางคืนดึก ๆ คนแถวนั้นก็เจอเรื่องแปลก ๆ กันบ่อย จนไม่มีใครกล้าผ่านทางนั้นตอนกลางคืน  ป้อมตำรวจที่เคยมีคนอยู่ประจำ เขาก็ไม่กล้าอยู่กัน จะมาเฝ้าแค่ตอนกลางวันเท่านั้น ได้ยินเพื่อนร่วมงานมันเล่าแล้ว ผมก็ยังขนลุกไม่หาย เพราะมันเป็นทางเดียวที่เป็นทางที่ผมจะเดินทางกลับได้ใกล้ที่สุด ซึ่งหลังจากวันนั้นผมก็คิดไว้แล้วว่า ถ้าต้องกลับดึกตอนกลางคืนแล้วผ่านทางนั้นอีก ผมขอยอมนอนอยู่ที่ทำงาน ดีกว่าโดนผีหลอกจะดีกว่า

Advertisement

Advertisement

ภาพถ่าย/แต่งกราฟฟิก : โดยผู้เขียน

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์