อื่นๆ

เรื่องสยอง : โรงลิเกข้างรางรถไฟ

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
เรื่องสยอง : โรงลิเกข้างรางรถไฟ

เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผมต้องจำไปจนวันตาย เรื่องสมัยที่ผมพึ่งปลดประจำการ์ณทหารเกณฑ์ใหม่ๆ และไม่มีงานทำจึงตัดสินใจกับเพื่อนว่าจะกลับไปหางานทำที่จังหวัดหนึ่งทางใต้ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเพื่อนผม พอมั่นใจแน่วแน่ก็พากันเก็บข้าวของ ออกเดินทางโดยรถไฟ วิวสองข้างทางพาให้ผมใจลอยและนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ทั้งกลัวจะคิดถึงบ้านที่ชลบุรี ทั้งเงินที่มีติดตัวมาก็น้อยเหลือเกิน แต่เมื่อคิดถึงอดีตวัยเด็กและพ่อแม่ทีไรก็จะมีความสุขทุกที  เวลาผ่านไปหลายต่อหลายชั่วโมงจนกระทั่งดึกประมาณตี 1 ผมที่นั่งสัปปงก ก็ต้องสะดุงสุดตัวเมื่อเพื่อนผม ไอแดงมันแหกปากเรียกผม พร้อมกับโวยวาย "เห้ยๆ ถึงแล้ว กูหลับเกือบเลย" พอตั้งสติได้ก็พากันขนสัมภาระวิ่งลงไปอย่างรวดเร็ว ภาพแรกที่เห็นคือสถานีไม้เล็กๆแห่งหนึ่ง ที่ดูน่ากลัว ลายล้อมไปด้วยป่าเขา และไม่มีรถวิ่งผ่านแน่ๆ "เห้ย แล้วจะไปบ้านมึงยังไงป่านนี้" ผมเอ่ยถามไอแดงที่ทำหน้าฉงนไม่ต่างจากผม ซักไปซักมาจึงได้ใจความว่า เราทั้งคู่ลงผิดสถานี เพราะไอแดงมันหลับ พอตื่นมาก็ตกใจ บวกกับไอแดงมันไม่ได้กลับบ้านมาหลายปีแล้ว ซึ่งจริงๆแล้วจุดหมายปลายทางของเราต้องไปอีกสองสถานีเกือบๆ 20 กิโล เมื่อรู้อย่างนั้นผมก็จัดการด่ามันไปชุดใหญ่ทั้งโมโหทั้งกลัวตังก็ไม่ค่อยมี

Advertisement

Advertisement

อารมณ์เย็นลงเราก็พากันเดินเข้าไปในสถานีหลังเก่า พร้อมกับวางสัมภาระก่อนจะเริ่มหาลือกันเรื่องวิธีกลับบ้าน โชคยังดีที่มีเจ้าหน้าที่รถไฟอยู่ในสถานีหนึ่งคน เราเลยเข้าไปสอบถาม ก่อนนายสถานีท่านนี้จะบอกว่า "โอ้ย ตอนนี้ไม่มีรถหรอก ต้องรอเช้านู้นแหละ ทางเป็นป่าเป็นเขาถ้าเดินไปมันอันตราย" เค้าบอกพวกผม ในตอนนั้นผมคิดจะชวนไอแดงเดินไปจริงๆเพราะทั้งอยากไปให้ถึงบ้านมัน และกลัวตังที่มีจะไม่พอ ไหนจะกลัวโจร และที่สำคัญกลัวผี แต่เราก็เชื่อนายสถานี และ ตัดสินใจจะรอถึง 8 โมง รถไฟรอบต่อไปก็จะมา

ความเหนื่อยล้าหลังจากเดินทางมาทั้งวัน ผมกับไอแดงจึงเอนตัวนอนที่ม้านั่งในชานชลา เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่อาจทราบได้ หลับๆตื่นๆ เพราะยุงเยอะมากๆ นอนไม่หลับสักที ทันใดนั้นเองก็มีมือของใครบางคนมาสะกิดที่ปลายเท้าผม ผมสะดุ้งลุกขึ้นในทันที และพบว่าเป็นชายชราคนหนึ่งยืนอยู่ "ไอหนุ่มๆ เองมานอนอะไรกันตรงนี้เดี๋ยวก็ยุงหามตาย"ชายชราพูด ผมจึงเล่าเรื่องที่เราลงผิดสถานีให้แกฟัง แกจึงชวนผมกับไอแดงให้ไปนอนโรงลิเกแกที่อยู่ห่างจากสถานีประมาณ 500 เมตร แล้วตอนเช้าแกจะให้คนมาส่ง คุยกันอยู่พักหนึ่งผมกับไอแดงเลยตัดสินใจไปกับลุงแก เพราะเห็นว่าดูท่าทางใจดี และยังเป็นคนบ้านเดียวกับไอแดง เราเดินเลียบทางรถไฟไปจนกระทั่งเจอกับโรงลิเก เปิดไฟสว่างเห็นมาแต่ไกล อยู่ติดกับวัด เราทั้งคู่ก็อุ่นใจขึ้นมาหน่อยนึง ลุงแกพาเราเข้าไปในโรงลิเก ก็มีคนอยู่ในนั้น 6-7 เดินไปเดินมา

Advertisement

Advertisement

โรงลิเก

cr.รูปภาพ: https://images.app.goo.gl/KEcfkEnSwv1do7c66


"เค้ามานอนด้วยคืนนึงนะ ลงรถไฟผิดสถานี" ลุงตะโกนบอกคนในโรงลิเก คนพวกนั้นหันมามองผมกับไอแดงเป็นตาเดียวกัน สีหน้านิ่งของพวกเค้าทำผมขนลุกไปทั้งตัว ก่อนจะหันกลับไปทำสิ่งที่กำลังทำอยู่ต่อ ในตอนนั้นผมยังไม่ได้คิดอะไรถึงเรื่องผีสาง แค่มีที่ให้ซุกหัวนอนก็ดีแล้ว ลุงหายไปพักหนึ่งก่อนจะกลับมาพร้อมหมอนและมุ้งให้กางนอน ผมกับไอแดงก็จัดแจงหาที่หลับที่นอนเหมือนกับคนอื่นๆในโรงลิเก ไอแดงมันหันไปบอกลุงว่า "โชคดีจังที่เจอลุง แล้วลุงไปทำอะไรที่สถานีครับ" ลุงแค่ยิ้มๆแต่ไม่ตอบอะไร นอนคุยสัพเพเหระกับไอแดงได้ไม่นานผมก็ผอยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็ลืมตาขึ้นมาเพราะเสียงของอะไรบางอย่าง มันเป็นเสียงของเครื่องดนตรีทางใต้ เสียงตะโพนหรืออะไรไม่แน่ใจ ดังมาจากทางด้านหน้าเวที จะข่มตานอนต่อก็นอนไม่หลับ และคิดในใจว่าใครมาเล่นอะไรกันตอนนี้หรือคณะลิเกเค้าซ้อมกัน จึงตัดสินใจจะลุกไปมวนยาสูบ และจะไปถามว่าจะเล่นกันถึงกี่โมง ผมเดินออกมาด้านหน้าเวทีที่ปิดไฟอยู่ ภาพที่เห็นคือมีคนเล่นดนตรีกันอยู่จริงๆ พร้อมกับนางรำที่รำอยู่กลางเวที ผมยืนดูอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่พวกเค้าจะหันมามองผมเป็นตาเดียวกัน และผมต้องขนลุกซู่ไปทั้งตัวอีกครั้งเมื่อสังเกตุเห็นดวงตาของเค้าเบิกโพลงจ้องมายังผม วินาทีนั้นอยากจะวิ่งแต่ก็ก้าวขาไม่ออก ขามันแข็งไปหมด มั่นใจแน่นอนว่าไม่ใช่คน นางรำหันมาทางผมพร้อมกับยกเท้าขึ้นก่อนจะกระแทกลงพื้นอย่างแรง และเอามือชี้มาทางผมเหมือนกับท่ารำท่าหนึ่ง จังหวะที่เท้ากระแทกกับพื้น หัวของนางรำก็หลุดลงมาจากบ่า จังหวะนั้นผมตกใจจนก้าวขาออก และตัดสินใจวิ่งเข้าไปหาไอแดง นางรำไม่มีหัวกระโดดลงเวทีวิ่งตามทันทีที่ผมออกวิ่ง พอวิ่งมาถึงที่ผมกับไอแดงนอนกัน ก็เห็นร่างของไอแดงนอนหงายอยู่โดยมีลุงคนนั้นยืนอยู่บนหน้าอก เมื่อลุงเห็นผมวิ่งมาจึงจ้องมาทางผม นัยน์ตาของแกแดงก่ำราวกับสีเลือด ผมที่กล้าๆกลัวๆอยู่ตรงนั้น ทางหนึ่งก็เป็นลุง อีกทางก็เป็นนางรำไม่มีหัววิ่งตามมา พอนางรำเริ่มเข้ามาไกล้ วินาทีผมตัดสินใจ เอาว่ะ ตายเป็นตาย ตัดสินใจวิ่งเข้าไปหาไอแดงชนลุง แต่จังหวะที่ชนลุงแกกลับหายวับไป ไอแดงสะดุ้งเฮือกขึ้นมา ผมจึงลากไอแดงกอดคอกันวิ่งออกมาจากโรงลิเก ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก หายหลังไปมองนางรำที่วิ่งตามมาก็หายไปตอนไหนไม่รู้

Advertisement

Advertisement

ผมกับไอแดงกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปตามรางรถไฟมุ่งหน้ากลับไปยังสถานีรถไฟ โดยที่สัมภาระยังทิ้งไว้ในโรงลิเก สมัยนั้นแค่ 500 เมตร แต่กลับรู้สึกเหมือนไกลเป็นกิโล ทั้งความมืด ความเงียบ มันทำให้ผมฟุ้งซ่านไปหมด ในที่สุดผมกับไอแดงก็วิ่งมาถึงสถานีรถไฟ และเข้าไปขอความช่วยเหลือกับนายสถานีคนเดิม นายสถานีท่านนั้นจึงให้ผมกับไอแดงนอนในห้องของนายสถานี พระบนหิ้งในห้องทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังนอนตัวสั่นทั้งคืน แต่ในที่สุดก็หลับไป

นางรำcr.รูปภาพ : https://images.app.goo.gl/UMqKv5YFbgb9K8Q76


จนกระทั่งเช้าผมสะดุ้งตื่นขึ้น เพราะเสียงรถไฟที่วิ่งผ่านไป ทันใดนั้นผมรู้สึกถึงความแปลกของบรรยากาศรอบๆ จึงรีบลุกขึ้นมาดู และพบว่า ผมนอนอยู่ในห้องขายตั๋วของสถานีรถไฟแห่งหนึ่ง ที่สภาพไม่ต่างจากสถานีร้าง เสื่อน้ำมันที่ผมกับไอแดงนอนเมื่อคืนกลับกลายเป็นพื้นไม้ที่เต็มไปด้วยฝุ่น เข่าผมแทบจะทรุดลงไปตรงนั้น แต่ยังตั้งสติไว้ได้ เลยรีบปลุกไอแดง เราทั้งคู่มองหน้ากันอย่างเข้าใจ ก่อนจะรีบวิ่งออกมา มองซ้ายมองขวา ไม่รู้จะพึ่งใคร เงินก็ไม่มีติดตัวสักบาท จะกลับไปเอาสัมภาระก็ไม่กล้า ดีที่ไอแดงมันนึกออกว่าข้างๆโรงลิเกเป็นวัด เราเลยตัดสินใจจะไปที่นั่น เพื่อขอความช่วยเหลือจากพระ ก่อนออกมาจากสถานีผมเหลือบไปเห็น พวงมาลัยดอกธูปเทียนวางไว้หน้าห้องขายตั๋วราวกับว่ามีใครมากราบไหว้อะไรบางอย่าง

เราเดินมาถึงวัดอย่างวาดระแวงเมื่อถึงโรงลิเกนั้น แต่สภาพของโรงลิเกมันคือโรงลิเกร้างชัดๆ ผ้าที่เมื่อคืนขึงเป็นฉากก็หลุดรุ้ยลงมา ฝุ่น หยากไหย่ เกาะเต็มไปหมด แต่เราก็กลั้นใจเดินผ่านมาได้ เราเข้ามาในวัดจนกนะทั่งเจอกับหลวงพ่อรูปหนึ่ง ผมจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟัง ท่านจึงบอกพวกเราว่า โรงลิเกข้างวัดมันร้างมานานแล้ว คณะนี้มาตั้งโรงลิเกไว้ แล้วอยู่ดีๆคนทั้งคณะก็หายไปหมด ไม่เคยกลับมาอีกเลย ส่วนหายไปไหนไม่มีคนรู้ ส่วนสถานีรถไฟก็ไม่มีคนใช้เช่นกัน หลวงพ่อบอกว่าจริงๆรถไฟไม่จอดสถานี นี้ด้วยซ้ำ ส่วนเรื่องนายสถานีหลวงพ่อบอกขอไม่พูดถึง แต่ก็ให้พวกเรากรวดน้ำไปให้เค้าที่ช่วยเหลือเราเมื่อคืน ก่อนจะให้เด็กวัดสามคนเดินพาพวกเราเข้าไปเอาสัมภาระในโรงลิเก ก้าวแรกที่เข้าไป อยู่ดีๆขนก็ลุกซู่ขึ้นมาทั้งตัว และที่สำคัญมุ้งที่เรากางนอน ยังกางอยู่อย่างนั้นเหมือนกับเมื่อคืน พอเก็บสัมภาระเสร็จหลวงพ่อก็ให้เด็กวัดขับรถไปส่งสถานีรถไฟต่อไป และผมกับไอแดงจึงได้กลับบ้านในวันนั้นโดยสวัสดิภาพ แต่หลังจากนั้น ผมกับไอแดงก็ไม่เคยเดินทางด้วยรถไฟอีกเลย และกลายเป็นคนขี้ผวาอยู่ช่วงหนึ่งจนครอบครัวของไอแดง ให้ผมกับไอแดงบวชเป็นเวลา 7 วัน โดยที่เชื่อว่าเป็นการล้างซวย



https://pixabay.com/photos/fantasy-spirit-nightmare-dream-2847724/Cr.รูปภาพ : https://pixabay.com/photos/fantasy-spirit-nightmare-dream-2847724/


คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์