อื่นๆ

ยินดีต้อนรับ

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ยินดีต้อนรับ

เราไม่รู้ว่ามันนานแค่ไหนแล้ว ที่ไม่ได้ผ่านมาแถวนี้....ถนนเส้นเดิม หากแต่ความเจริญได้เข้ามาแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา บรรดาร้านค้า บ้านพักอาศัย ห้องพักรายวัน  รายเดือนและห้างสรรพสินค้าเข้ามาแทนที่พื้นที่ว่างเปล่าในอดีต  10 ปีมาแล้วสินะ....ที่เราไม่ได้กลับมาที่นี่  เราเลี้ยวรถตัดเข้าซอยเล็กๆ แยกจากถนนใหญ่ด้วยเหตุจำเป็นบางอย่าง ผ่านสิ่งรอบข้างรายทางที่จะพอคุ้นตา จู่ๆ เจ้าความรู้สึกหนาวเย็นของอุณหภูมิร่างกาย ก็พาลทำให้ขนลุกซู่ก็ผุดขึ้นมาเฉยๆ ทั้งที่อากาศด้านนอกที่ก็ร้อนเกือบจะ 32 องศาเข้าไปแล้ว เราเริ่มห่อไหล่แล้วเหยียบคันเร่งให้พันๆ ไปจากอาณาเขตพื้นที่นี้เสียที.....เกือบจะลืมไปแล้ว  แต่ภาพความทรงจำมันกลับมารบกวนจิตใจเราอีกครั้ง

“สำนักงานจัดการอาคารห้องชุด”  ตัวอักษรบนป้ายอะคริลิกซีดๆ ถูกติดอยู่เหนือประตูทางเข้าของอาคารสีขาว ผนังด้านนอกอาคารมีร่องรอยการผุกร่อนของสีที่ทาทับตามกาลเวลา ขนาบข้างซ้ายขวาด้วยตึกสูง 4 ชั้นกลางเก่ากลางใหม่ คาดเดาได้จากเสื้อผ้าที่ตากริมระเบียงและข้าวของเครื่องใช้ ก็พอจะเดาได้ว่าคงมีผู้คนอาศัยอยู่พอสมควร เราตัดสินใจเลื่อนประตูสไลด์เดินเข้าไปถามหาห้องพักรายเดือนตามที่ตั้งใจ  หญิงสาวร่างอวบวัยกลางคนนั่งเกมส์โทรศัพท์มือถือโดยไม่ได้สนใจเราสักนิด จนต้องพูดซ้ำ

Advertisement

Advertisement

“ว่าไงคะพี่....มีห้องพักว่างไหมคะ”

“เต็ม!” เจ้าหล่อนตอบโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองด้วยซ้ำ เราหายใจเข้าลึกๆ แอบนึกหมั่นไส้กับท่าทีของนางแล้วอดไม่ได้ “แล้วจะติดป้ายไว้หน้าปากซอยทำไม เสียเวลา” ว่าแล้วก็ชักสีหน้าเดินผละออกมาด้วยอารมณ์หงุดหงิดกับท่าทีของนางเป็นทุนเดิม ปนกับอารมณ์ผิดหวัง การโดนย้ายสาขาปุบปับนี่ไม่ใช่เรื่องสนุกเลย ไม่ได้มีเวลาให้เตรียมตัว ไม่มีเวลาให้คิดตัดสินใจสักเรื่อง เฮ้อ!...

“มีอยู่ห้องเดียว แต่มันไม่มีเตียงนะน้อง จะดูมั้ยล่ะ” เสียงแหลมๆ ดังมาจากด้านหลัง ทำให้เราที่ทำกำลังเลื่อนประตูกระจกต้องชะงักหันกลับไปหาเจ้าของเสียง สาวร่างอวบคนเดิมวางมือถือลงแล้วเดินถือกุญแจตรงปรี่เข้ามาหาเราแทน  “ดูค่ะ” เราตอบโดยไม่ลังเลเลยสักนิด เอาน่าอย่างน้อยๆ ก็ยังพอจะซื้อฟูกเล็กๆ มานอนได้อยู่แหละ ว่าแล้วนางก็เดินนำหน้าไปยังตึกด้านซ้ายแล้วพาขึ้นบันไดไปชั้นสองอย่างกระฉับกระเฉง อารมณ์ดียิ้มแย้มทักทายผู้คนที่เดินสวนผ่านหน้าผิดกับตอนนั่งอยู่ในสำนักงานเมื่อกี้ราวกับคนละคน ปากก็ยังพูดจาเจื้อยแจ้ว “ห้องนี้สวยแต่มันไม่มีเตียงให้ ห้องกว้าง อยู่หัวมุมชั้นสองนี่แหละ เดือนละ 3,500 มัดจำก่อนเข้าอยู่ 1 เดือน นะน้องถ้าโอเค ถ้ามากลางเดือนแบบนี้เดี๋ยวปลายเดือนคิดแค่ครึ่งเดียว” นางพูดพลางไขกุญแจแล้วผลักประตูออกจากตัวเบาๆ ห้องพักแลดูสะอาดตา โล่ง โปร่ง พื้นที่ใช้สอยแลดูกว้างขวาง มีกระจกบานโตอยู่มุมหนึ่ง ตู้เสื้อผ้า พัดลมเพดาน ชั้นวางทีวี ครบหมดทุกสิ่ง เตียงไม้ขนาด 6 ฟุตสภาพเอี่ยมถูกตั้งอยู่กลางห้อง

Advertisement

Advertisement

“อุ้ย เตียงใหม่ด้วย” นางอุทานก่อนหันมามองเราแบบเลิ่กลั่ก คงอาจจะรู้สึกเขินหรือเสียหน้า ที่ให้ข้อมูลเราพลาด เราเดินดูรอบๆ ห้องทั้งในห้องน้ำ และส่วนซักล้างด้านหลังห้อง “โอเคหนูเอาห้องนี้แหละ” เราตัดสินใจโดยไม่ลังเล แต่ทว่า.....

“พี่แล้วเสื้อผ้า ตุ๊กตาพวกนี้ เจ้าของเก่าเค้ามาจะมาเอาวันไหนละคะ”  เราถาม เพราะหันไปเจอกองเสื้อผ้าที่ถูกพับไว้อย่างเรียบร้อยวางซ้อนกันอยู่จำนวนหนึ่งตรงผนังมุมห้องด้านบนถูกวางทับด้วยตุ๊กตาตกแต่งสองสามตัวสภาพโดยรวมดูแล้วยังใหม่และดูเหมือนจะถูกจงใจวางไว้อย่างเป็นระเบียบ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการขนย้าย

“แล้วแต่น้องเลย เจ้าของเค้าไม่มาเอาแล้วแหละ น้องจะเอาไว้ หรือเอาทิ้งก็ได้เลยนะ”

“ไม่ดีกว่าพี่ พี่เก็บเอาไว้ก่อนสิ เผื่อเค้าจะกลับมาเอานะ”

“โอ๊ยน้อง เค้าไม่เอาแล้วแหละ ไม่กลับมาหรอก นี่ถ้าน้องไม่กล้าทิ้งเดี๋ยวพี่ให้แม่บ้านมาเอาไปทิ้งเอง” นางพูดตัดรำคาญ แล้วเดินปรี่ไปยืนรอหน้าประตู “น้องจะย้ายเข้าวันไหนนะ เดี๋ยวพี่ให้แม่บ้านมาทำความสะอาดให้ก่อน”

Advertisement

Advertisement

“อีกสองวันก็ได้ค่ะ สักช่วงเช้า”

เงินสดจำนวนสามพันห้าร้อยบาทถูกแลกเปลี่ยนกับใบเสร็จพร้อมกุญแจห้องพัก นั้นหมายความว่าคืนนี้และคืนวันพรุ่งนี้เราต้องหาโรงแรมถูกๆ ใกล้ๆ ที่ทำงานนอนไปก่อน เอาเถอะอย่างน้อยๆ เราก็ยังโชคดีที่ไม่ต้องเดินตระเวนหาห้องพักไปอีกเรื่อยๆ และที่สำคัญเราก็ยังได้ห้องพักที่กว้าง สะอาดตา และเฟอร์นิเจอร์ใหม่ๆ แทบจะทุกชิ้นในราคาสมน้ำสมเนื้อที่สุด.....

สองวันถัดมา....ถึงกำหนดวันนัดเข้าพัก เราลางานครึ่งวันเช้าเพื่อมาจัดแจงที่อยู่ใหม่ พี่เจ้าหน้าที่สำนักงานคนเดิม ไม่เดินมาส่งเราเพียงแค่ทักทายและถามว่า “จำเลขที่ห้องได้ใช่ไหมน้อง” จากนั้นก็หันกลับไปสนใจจอมือถือตัวเองต่อ เราไขประตูเหล็กชั้นนอกและบานด้านในออกกวาดสายตาไปรอบๆ กองเสื้อผ้าและตุ๊กตาถูกขนออกไปแล้ว ห้องดูสะอาดตาและน่าอยู่ขึ้น จัดแจงปูที่นอนเสร็จจัดของใช้ส่วนตัวนิดหน่อยก็รีบออกไปทำงานต่อและเตรียมตัวสำหรับงานเลี้ยงต้อนรับที่กำลังจะถูกจัดขึ้นในค่ำวันนั้น เราจำไม่ได้ว่ากลับมาห้องพักกี่โมงด้วยอาการวิงเวียนจากการดื่ม จำได้แค่ว่าเดินส่วนกับผู้หญิงกลิ่นตัวแรงมากๆ คนนึงตรงบันได จนเราต้องกลั้นหายใจแล้วเดินให้พ้นจากมุมนั้นไปเร็วๆ ทันทีที่หัวถึงหมอน เราก็ภาพตัดไปเลยจนเช้าของอีกวันพร้อมเสียงนาฬิกาปลุกบนมือถือ เสียงนกร้องเพลงยามเช้าด้านนอก และเสียงกวาดใบไม้ตรงลาดหน้าตึกส่งสัญญาณให้เรากับเช้าวันใหม่ แสงสว่างน้อยๆ ลอดออกมาผ่านช่องว่างเล็กๆ ของรอยต่อม่าน บรรยากาศดีมากๆ กำลังนอนสบายเลยเสียดายจริงที่ต้องลุกแล้ว...

หนึ่งอาทิตย์ผ่านมากับห้องพักที่แสนมีความสุขและลงตัว เราจะมีความสุขและราบรื่นมาก ทว่า....

คืนนี้...เราอ่านหนังสือเสร็จก็ปิดไฟเข้านอน แต่ไม่วายเปิดไฟห้องน้ำทิ้งไว้เผื่อจะต้องลุกมากลางดึก เราหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ รู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่รู้สึกว่าอากาศมันหนาวๆ มากจนต้องจำใจลืมตาขึ้นมาเพื่อฝืนใจพยุงร่างไปปิดพัดลมให้ได้  ไม่สิ! เราลุกไม่ได้เลย แถมเจ้าความรู้สึกขี้เซาก็พาลไม่อยากจะลืมตาตื่นซะอย่างนั้น ก้อนลมเย็นๆ ที่เหมือนพัดมาพร้อมกับไอน้ำแข็ง เริ่มไล่ปลายเท้าขึ้นมาเรื่อยๆ จนปะทะริมฝีปากก่อนจะกระจายไปทั่วหน้า ทวีความหนาวยะเยือกขึ้นไป จนเราไม่สามารถดื้อดึงดันที่จะข่มตาให้หลับต่อไปได้อีก ก้อนลมเหล่านั้นมันเหมือนถูกกระพือให้แรงขึ้น แรงขึ้น แรงขึ้นจนเราต้องลืมตา ภาพที่อยู่เบื้องหน้า คือพัดจีนสีม่อๆที่ทั้งเก่าและขาดส่ายไปมาด้วยแรงพัดวีและเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ เรารู้สึกขนลุกและน้ำตาใหลกับเจ้าของมือสีขาวซีดๆ ซีดเหมือนกระดาษ พยายามข่มตาแค่ไหนก็อดที่จะหาคำถามเหลือบมองตามเจ้าของมือคู่นั้นไม่ได้ เธอผู้สวมใส่ชุดกี่เพ้าสีขาวที่เก่าจนเป็นคราบเหลืองมอซอ ยิ้มมุมปากแบบน่ากลัวภายใต้แสงไฟสลัวนั่งอยู่ข้างตัวเรายังคงเร่งฝีพัดในมือแรงขึ้นเรื่อยๆ

“นะโม ตัสสะ นะ.....โม....” เราพยายามท่องทุกบทสวดมนต์ที่พอจะจำได้ สลับกันไปมาผิดถูกวุ่นวายไปหมด

“ฮ่าๆๆๆ มึงท่องไม่ถูกหรอก” คราวนี้เธอเริ่มเปล่งเสียง น่าตาที่ตอบและซีดเซียวเริ่มดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก มันแย่ที่สุดตรงที่เราขยับตัวไม่ได้เลย และสิ่งที่เราต้องตกใจมากขึ้นไปอีกคือ หะ...ห้อง และเตียงที่เรานอนนั้นตอนนี้มันเปลี่ยนไป สิ่งที่ตาเราเห็นมันไม่ใช่ห้องของเราอีกแล้ว ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เราไม่คุ้นกับมันเลยสักนิด มันไม่ใช่ของๆ เราสักชิ้น นี่เราอยู่ที่ไหน ภายใต้ความมืดเราได้ยินแต่เสียงร้องไห้สะอื้นของตัวเองและเสียงหัวเราะสะใจที่เล็กแหลม ของเธอผู้นั้น เหมือนหัวใจจะขาดออกจากกัน ขอร้องล่ะ ใครก็ได้ช่วยพาเราไปจากตรงนี้ที เราได้แต่ภาวนา

“อย่าไปยุ่งกับเค้านะ”  เสียงตวาดจากใครคนหนึ่งดังมาจากประตูห้องน้ำทางขวามือ แสงไฟที่ลอดออกมาทำให้มองเห็นหญิงสาววัยรุ่นราวคราวเดียวกันกับเรา ผมบ๊อบ ปะบ่าที่แง้มบานประตูห้องน้ำออกมาครึ่งหนึ่ง เธอผู้นั้นมองมายังตรงจุดที่เรานอนตัวแข็งและผู้หญิงลึกลับน่ากลัวอีกคนตรงนี้ โอ๊ย...นี่มันอะไรกัน เราทั้งงงและสับสนกับสิ่งที่ได้เจอ นับเป็นฝันร้ายที่สุดของเรา ฝัน เราฝันหรอ แต่ทำไมมันเหมือนจริงมากขนาดนี้

“ปล่อยเค้าไป อย่าไปยุ่งกับเค้า มันบาป” เธอผู้นั้นยังตะโกนมาอีกรอบจากหน้าประตูห้องน้ำ “หนีไปๆๆๆ” เธอตะโกนออกมาแล้วเริ่มร้องไห้เสียงดังขึ้นๆๆๆ  เราเริ่มทนไม่ไหวแล้ว นี่เรากำลังเจอกับอะไรอยู่เรากรีดร้องเสียงดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ร่างผู้หญิงชุดขาวที่คร่อมตัวเราอยู่นี่หายไปสักที ความกลัวมันชาซ่านไปหมดทั้งร่างกายเรานับเริ่มนาทีถอยหลังและคิดว่าต้องจบชีวิตแน่ๆ แล้วในคืนนี้ ในใจคิดถึงพ่อแม่และบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกอย่างที่พอจะนึกและลำดับได้ เวลาผ่านไปชั่วระยะ สักประมาณ 5 นาทีเห็นจะได้ เสียงเคาะประตูห้องจากด้านนอกเริ่มดังขึ้นรัวๆ พร้อมกับร่างของปีศาจตัวร้ายที่คอยจ้องหาเรื่องเราค่อยๆจางหายไป ภาพที่เห็นในห้องเริ่มแปรเปลี่ยนสภาพกลับกลายมาเป็นห้องของเราดังเดิม ทิ้งไว้แค่รอยน้ำตาบนแก้มและความเจ็บปวดของข้อมือและข้อเท้าที่ผ่านการเกร็งสุดแรงของกล้ามเนื้อมาด้วยความกลัว เราหมดสติหลับไปและตื่นมาในสายของอีกวัน สิ่งแรกที่เราคิดออกทำได้คือการเก็บสัมภาระทั้งหมดออกจากที่นี่ และยื่นลาออกจากงานทันทีโดยไม่มีคำว่าลังเล แม้หัวหน้างานและเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ จะทัดทานอย่างไร เราก็ไม่อยากจะอยู่ที่นี่อีกแล้ว ความทรงจำอันเลวร้ายของเมื่อคืนนี้มันเราอยากจะหนีไป

แล้วเราก็รู้ความจริงจากหัวหน้างานว่า...อพาร์ทเม้นท์ที่เราไปอยู่นั้นเดิมทีเป็นป่าช้า สุสานเก่าของคนจีนในสมัยก่อน และเค้ามีทำการล้างป่าช้าก่อนที่จะมาก่อสร้างอาคารแห่งนี้ และนี่คงเป็นที่มีของผู้หญิงชุดกี่เพ้าคนนั้น แล้วผู้หญิงคนที่มาช่วยเราล่ะ? เราต้องหาความจริงเรื่องนี้จากเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลคนนั้น ด้วยการโทรศัพท์กลับไปหาเธอตามหมายเลขติดต่อในใบเสร็จรับเงิน เธอยังยืนว่าจะไม่มีการคืนเงินใดๆ ให้กับเรา แต่ก็ช่างเถอะ! เราอยากรู้ความจริงของห้องนี้มากกว่า เราขู่เรื่องที่จะไม่แจ้งความในส่วนที่เธอไม่ยอมคืนเงินค่ามัดจำห้องให้กับเราเพื่อแลกกับความจริง แล้วเธอก็เล่าว่า....เจ้าของเสื้อผ้าและตุ๊กตานั้นเดิมที คือหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับเรานั้นแหละ เธอเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ขณะที่อยู่ที่นี่และก่อนเราเข้ามาอยู่แทนที่เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น ทางญาติพีน้องเข้ามาจัดการเก็บแค่สิ่งของและเอกสารที่จำเป็นออกไป เหลือทิ้งไว้บ้างส่วนที่เราเห็นนั้นแหละ และพอจะคาดเดาว่าอาจจะเป็นเธอคนนี้ก็ได้ที่ช่วยเหลือเราในคืนนั้นก็ได้

“สำนักงานจัดการอาคารห้องชุด”  เราเงยหน้าขึ้นมาจากพวงมาลัยรถ พร้อมกับอ่านป้ายเหนือระดับสายตาด้วยสัญชาตญาณ เห้ยยยย....ทำไมเราถึงมาจอดอยู่ที่นี่ได้เนี่ย ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เราพยายามที่จะเหยียบคันเร่งแล้วไปให้พ้นๆ จากตรงนี้ด้วยซ้ำ เพียงชั่ววูบเดียวที่เราคิดถึงเรื่องบ้าๆ นั้น ก็เหมือนโดนมนต์สะกดขับมาตรงนี้เองอย่างนั้นเหรอ มันเริ่มไม่เข้าท่าแล้ว อาคารหลังเดิมมันทรุดโทรมมากตามกาลเวลา ป้ายบอกชื่อสำนักงานถูกเขียนทับใหม่ด้วยสีส้มที่เริ่มจะซีดๆ บรรยากาศรอบตัวมันเงียบเหงาวังเวง ผิดจากเมื่อสิบปีก่อนไปมาก อาคารห้องพักซ้ายขวาแลดูเหมือนอาคารร้างไร้ผู้คน เรารู้สึกปวดหัว หมนหมอง พร้อมๆกับขนที่ลุกตั้งชัน ความหนาวเย็นเริ่มรุกล้ำกัดกร่อนเข้าไปถึงกระดูก มันไม่ควรเป็นแบบนี้ เราไม่ควรต้องกลับมาเจอที่นี่ ว่าแล้วเราก็รวบรวมสติทั้งหมดใส่เกียร์ R แล้วเหยียบคันเร่งสุดแรงอีกครั้งเพื่อหนี...หนีไปจากตรงนี้ เราไม่รู้หรอกว่าวินาทีนั้น ความเร็วและแรงของคันเร่งจะไปเหยียบทับหรือปะทะอะไรไปบ้าง ที่สำคัญคือเราสติหลุด...กว่ารู้อะไรอีกทีก็จำได้แต่เสียงรถพยาบาลและผู้คนหลากหลายวุ่นวายไปหมด มันเวรกรรมอะไรของเราหนักหนาก็ไม่รู้ที่ทำให้เราต้องมาที่นี่อีกครั้ง

ภาพโดย dife88 จาก Pixabay

………………………………………………………………………

ตะวันบ่ายคล้อย อาทิตย์ลับขอบฟ้า...และจะหมดไปอีกวัน เวลานี้เรายังคงนั่งอยู่หน้าบ้านจิบน้ำหวานอย่างชื่นใจ มองดูเหล่าดอกไม้หลาก ชุดเสื้อผ้าไทยมากมาย ผ้าแก้วเจ็ดสีที่ผูกอยู่ที่เสาบ้าน

“สำนักงานจัดการอาคารห้องชุด”  คือป้ายลิบๆ ที่มองไปจากทางหน้าบ้าน เราชาชินกับมันเข้าไปทุกวัน สิ่งที่เราเคยหวาดกลัวพวกนั้น มันทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว เราอยู่ตรงนี้ แต่ละวันก็จะได้เสียงรถวิ่งผ่านไปมาบ้าง มีผู้คนมาเยี่ยมหาพร้อมกับดอกไม้และควันธูปบ้าง บางคนก็มาพร่ำพูดร้องขอสิ่งทีตนอยากได้ต่างๆ นานา ในบางครั้งที่เราอยากจะเล่นตลกบ้าง เราก็จะแกล้งเดินตัดหน้ารถใครสักคน หรือกระโดดไปนั่งเบาะข้างหัวเราะใส่หูไอพวกที่มันชอบทำตัวเลวร้าย คนที่ในหัวสมองมีแต่ความโลภ มีจริตที่ต่ำต้อยกว่าเดรัจฉาน พวกคดโกงบ้านเมืองและไม่ควรค่าจะอยู่ในพื้นโลกมนุษย์  ให้คว่ำๆ หรือเสียหลักจนไหล่ทางไปให้จบชีวิตไปซะ บางคนก็ยังยืนงงๆ หาจุดไปไม่เจออยู่เลย เราก็ทำได้แค่นั่งยืมหวานๆ แล้วทักทายเค้าสวยๆ

“ยินดีต้อนรับ”

ภาพโดย Khusen Rustamov จาก Pixabay

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์