อื่นๆ
ถนนแสนเฮี้ยน
.jpg)
เครดิตภาพ:https://www.idegroup.eu/safety
สวัสดีครับเพื่อน ๆ เรื่องขนหัวลุกที่ผมจะเล่าประสบการณ์ต่อไปนี้นั้นที่เกิดขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้เอง ในช่วงก่อนจะถึงวันแม่ที่ผ่านมาซึ่งจะเป็นวันหยุดติดต่อกัน 3 วัน และในวันศุกร์นั้นผมจะขอลาหยุดล่วงหน้าเพื่อจะได้หยุดยาว 4 วันและพาแม่ไปเที่ยวพักผ่อนในวันหยุดนะครับ
ส่วนวันพฤหัสบดีผมจึงทำงานล่วงเลยเวลามากกว่าที่เคยทำมาก่อนตั้งแต่มาทำงานที่นี่ ที่ทำงานของผมนั้นตั้งอยู่ติดกับถนนเส้นทางหลักและเป็นเพราะผมขี่มอเตอร์ไซค์มาทำงานเป็นประจำ ทำให้ค่อนข้างลำบากเวลาขี่รถบนถนนใหญ่ที่มีรถเยอะๆอีกทั้งที่ผมพักอยู่นั้นก็อยู่ฝั่งเดียวกับที่ทำงาน ทำให้เวลากลับออกจากที่ทำงานจำเป็นต้องวิ่งเข้าซอยและออกมาอีกซอยหนึ่งออกถนนใหญ่ขึ้นสะพานกลับรถไปอีกฝั่งแล้วถึงจะกลับมาฝั่งเดิมได้ถ้าไปทำงานก็สะดวกรวดเร็วดีแต่ขากลับก็จะใช้เวลาเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกนิดหน่อย
Advertisement
Advertisement
ในวันพฤหัสบดีนั้นเป็นวันที่ผมและเพื่อนร่วมงานอีกประมาณสามคน อยู่ทำงานด้วยกันจนดึกดื่นเพราะเป็นงานด่วนที่หัวหน้าสั่งและต้องส่งให้ทันภายในวันศุกร์ ทำให้ผมและเพื่อนร่วมงานต้องช่วยกันรีบทำงานนี้ให้เสร็จอีก เวลาล่วงเลยผ่านไปกว่างานจะเสร็จก็ประมาณตี 1 กว่าๆแล้วหลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันกลับ
โดยมีผมคนเดียวที่ขี่มอเตอร์ไซค์ส่วนคนที่เหลือก็กลับแท็กซี่กันครับ เรื่องปกติที่ผมจะต้องเข้าซอยที่เลยจากด้านหน้าออฟฟิศมาเล็กน้อยเพื่อ ออกไปทางถนนใหญ่ที่จะตรงไปเจอสะพานกลับรถได้คืนนั้นฝนตกลงมานิดหน่อย ก่อนที่ผมจะกลับทำให้ถนนค่อนข้างลื่น ประกอบกับความที่ผมเป็นคนขี่รถตามอารมณ์ และตอนนั้นผมก็ง่วงมากด้วยทำให้การขี่มอเตอร์ไซค์ของผมนั้นช้ากว่าปกติแถมกระจกมองข้างมอเตอร์ไซค์ ของผมข้างซ้ายก็โดนคนที่หอพักบิดเล่นอยู่บ่อยๆ จนเวลาที่หมุนกลับมาที่เดิมทีไรเพราะสะเทือนนิดหน่อยมันก็จะหมุนออกไปซะทุกที ซึ่งผมยังไม่มีเวลาไปซ่อมทำได้แค่เพียงหมุนตัวน็อตที่ยึดกระจกไว้ขณะที่ขี่รถอยู่เรื่อยๆนั่นยิ่งทำให้ผมขี่รถลำบากขึ้นมาก เวลาจะต้องมองกระจกซ้ายตอนที่ขี่รถเข้าซอยไปนั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่ซอยนั้นจะเงียบสนิทและไม่มีรถวิ่งเลยเพราะเวลานั้นมันก็ดึกมาก เครดิตภาพ:https://petmaya.com/wp-content/uploads/2016/10/optimistic-creepy-01.jpg
Advertisement
Advertisement
แล้วผมขี่รถเข้าซอยไปเรื่อยๆพยายามหาเรื่องคิดหรือฮัมเพลงไปด้วย เพื่อไม่ให้ตัวเองหลับประกอบกับความรู้สึกหวั่นๆ ที่กลัวทั้งคนและผีในเวลาเดียวกัน ขณะที่ขี่รถไปได้สักพักผมก็นึกขึ้นได้ว่าอีกไม่นานจะถึงทางที่ไม่มีไฟข้างทางแล้วซึ่งปกติตอนที่ผมกลับจะเป็นแค่ช่วงเวลาหัวค่ำเท่านั้น ยังคงพอมีรถผ่านไปผ่านมาให้พอเป็นแสงไฟได้บ้างแต่ตอนนี้มันตีหนึ่งกว่า ๆ
ถนนเงียบสนิทแม้แต่หมาจรจัดที่ผมเคยเห็นอยู่ข้างถนนก็ไม่มีโผล่มาสักตัว ความง่วงทำให้ผมคิดถึงเรื่องในหัวไม่ค่อยออกสักเท่าไหร่ จะจอดรถข้างทางแล้วใส่หูฟังเปิดเพลงตอนนี้ก็คงจะไม่เหมาะ ข้างถนนเงียบและมืดไปข้างทางเว้นระยะช่วงไกล ไม่เหมาะที่จะจอดทำอะไรข้างทางที่ต้องใช้เวลาผมขี่รถไปเรื่อย ๆ
ใจหวังให้ถึงปากทาง เลี้ยวออกจากซอยเร็วๆ ตอนนี้ถึงแม้ว่าผมจะง่วงมาก แต่เรื่องคนกับผีก็ยังวนเวียนอยู่ในหัวผมอยู่เมื่อมาถึงทางช่วงที่ไม่มีไฟนั้นซึ่งผมคิดว่ากินระยะทางประมาณเกือบ 1 กิโลได้มันเป็น 1 กิโลที่ผมรู้สึกเสียวสันหลัง และหวั่นใจมากที่สุด ผมขี่รถเลยป้อมยามหน้าหมู่บ้านไฟสว่างดวงสุดท้ายมาแล้ว เหลียวไปมองผ่าน ๆ ก็เห็นพี่ยามแกหลับอยู่จึงหันกลับมามองทางต่อกลับเลี้ยวซ้ายไปตามทาง
Advertisement
Advertisement
ซึ่งตอนที่เลี้ยวก่อนที่รัศมีกล่องไฟหน้ารถจะส่องไปถึงผมพยายามคิดว่ามันไม่น่าจะมีอะไร และคิดว่าตัวเองคงจะจินตนาการไปเอง เพราะขี่รถมาในทางมืดๆคนเดียวเป็นใครจะไม่คิดบ้าง อีกอย่างผมก็เปิดไฟสูงตลอดเวลาที่ขี่รถในทางที่ไม่มืดถ้าจะมีอะไรอยู่ด้านหน้าผมต้องเห็นล่วงหน้าอยู่แล้ว ตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองใช้เวลานานกว่าทุกวันในการขี่รถผ่านทางนี้
เพราะทางจากหัวโค้งมุมซ้ายมาผมก็ต้องเจอกับทางตรงยาวที่มืดสนิท ผมขี่ผ่านทางตรงมาได้ระยะหนึ่งเห็นแสงไฟของรถคันหน้าก็แอบรู้สึกดีใจ ที่มีรถใหญ่ส่องนำทางให้ แต่รถคันนั้นก็เร่งเครื่องเร็วเสียจนผมตามไม่ทัน ทำให้ผมอยู่คนเดียวอีกครั้งบนถนนมืดๆอยู่ๆผมก็ต้องเบรกรถกะทันหัน เพราะสิ่งที่เห็นเมื่อกี้นี้นั้นมันทำให้ผมหายง่วงเลยทันทีผมเห็นคนกำลังคลานสี่ขาแล้วกระโดดข้ามถนนไป
ผมขนลุกไปทั้งตัวรู้สึกหัวใจเต้นแรงกว่าปกติ ก็จะรีบรวบรวมสติและขยับกระจกให้หมุนกลับมาที่เดิม ใจผมเต้นแรงจนรู้สึกว่ามันจะดันออกมาหน้าอกตอนขี่รถออกไปได้แป๊บเดียว ก็นึกว่าทางข้างหน้าคือทางที่มีต้นไทรต้นใหญ่ซึ่งเป็นต้นไม้ที่มีคนเอาผ้าเจ็ดสีมาผูกไว้แล้วเอาชุดไทยมาถวาย ระหว่างที่คิดผมก็ขนลุกขึ้นอีกรอบ ในใจภาวนาขอให้ทุกอย่างเป็นเพราะผมกำลังกลัวและคิดไปเองผมส่ายหน้าเพราะหลับไปเพียงช่วงแค่ไม่ถึงวินาทีปรากฏว่ารถล้มลงทั้งคนทั้งรถแยกไปคนละทาง
หนักว่าเมื่อกี้ซะอีกทางเมื่อกี้นี้ซะอีกเพราะสิ่งที่ผมเห็นตอนลืมตาขึ้นมา คือเห็นคนผอมแห้งกำลังปีนเสาไฟฟ้าข้างทางอยู่ผมนอนนิ่งอยู่สักแป๊บ รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดจากการล้มลงมาจากรถความรู้สึกตอนนั้นมันทั้งเจ็บทั้งกลัว เริ่มจะสติแตกผมดันตัวเองให้ลุกขึ้นรีบเดินไปที่รถแล้วยกรถขึ้นมา ตอนนี้กระจกรถของผมข้างที่หลวมนั้นไม่สามารถให้มันล้อคนิ่งได้แล้วผมมันไปตามถนนด้านหน้าเห็นแสงไฟจากป้อมตำรวจที่อยู่ตรงแยกไม่ไกลนัก จึงตัดสินใจขึ้นรถอีกครั้งสตาร์ทรถเตรียมออกตัวทันทีผมปรับกระจกข้างอีกเล็กทันใดนั้นก็มีเสียงวิ่งมาจากทางด้านหลัง เครดิตภาพ:https://www.flickr.com/photos/gregerravik/44763448795
กระจกข้างที่ผมมองเห็นสะท้อนเงาลางๆของร่างผอมบาง เมื่อตะกี้วิ่งเข้ามาทางด้านหลังผมผมตกใจรีบติดรถออกไปโดยไม่ได้จะรอดูว่าถนนข้างหน้านั้น จะมีลูกระนาดสูงแค่ไหนมีแต่ความกลัวกับสติที่กระเจิดกระเจิง ผมขี่รถเข้าไปจอดตรงป้อมตำรวจที่เห็นข้างหน้าลงจากรถแล้วรีบวิ่งไปด้านหน้าป้อมปรากฏว่าไม่มีใครอยู่สักคน เป็นป้อมร้างที่เปิดไฟหลอกเฉยๆผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก็เห็นว่าหน้าจอมันแตกเพราะรถล้มเมื่อกี้แน่ๆ
ผมกดเบอร์โทรหาแม่ แต่แม่ก็ไม่รับสายคงเป็นเพราะมันดึกมากแล้ว ผมแค่จะกลับห้องไปนอนพักผ่อนจึงสวดมนต์อยู่พักใหญ่ก็เริ่มควบคุมสติตัวเองได้ เลยเดินกลับไปที่รถระยะทางห่างกันไม่กี่ก้าวแต่ผมก็รู้สึกว่ามีเสียงคนเดินตามหลังมา ผมหยุดยืนตัวแข็งชื่อท่องบทสวดมนต์อีกรอบคราวนี้กลับรู้สึกว่ามีลมหนักๆ สัมผัสลงมาที่คอผมเป็นระยะ ผมหยุดจินตนาการไม่ได้และนั่นทำให้ผมสติแตกอีกรอบผมลืมตาขึ้นแล้วขับรถก่อนจะสตาร์ท แล้วรีบขี่ออกมาจากป้อมตำรวจตรงนั้น ขี่รถมาได้สักพักก็เจอถนนที่มีแสงไฟซึ่งเป็นช่วงถนนที่มีร้านสะดวกซื้ออยู่
ผมจอดรถด้วยนั่งพักแล้วจะหมดสติอารมณ์ของตัวเอง เมื่อลองสำรวจตัวเองก็พบว่าที่แขนมีรอยแผลเล็กน้อยและมีรอยช้ำ 2-3 แห่ง ที่โชคดีที่ผมใส่กางเกงขายาวส่วนที่ถลอกจึงเป็นที่กางเกง มากกว่าส่วนรถของผมนั้นทั้งท่อและกระจกรวมถึงสีด้านข้างก็ถลอกไปตามแรงไถลของรถในตอนนั้น จากที่ผมทั้งเหนื่อยทั้งง่วงแล้วเพลียจากการทำงานกับกลายเป็นว่าร่างกายตื่นตัวเต็มที่ทั้งตื่นเต้นตกใจแล้วก็กลัวผสมรวมกันไปหมด
ผมนั่งลงที่ริมฟุตบาทได้ไม่นานก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินมาใกล้ๆแล้วถามผมว่าน้องที่รถล้มเมื่อกี้หรือเปล่า ผมเงยหน้ามองพี่ผู้ชายคนนั้นด้วยความรู้สึกไม่เข้าใจ เมื่อกี้พี่ผ่านทางนั้นแหละครับพี่คนนั้นมองหน้าผมเหมือนรู้สึกผิด ใช่พี่โทษทีนะพี่ไม่ได้เข้าไปช่วยผมได้แต่เงียบไม่พูดจาอะไรในใจรู้สึกโกรธขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่ก็พยายามไม่แสดงออกน้องคงไม่ใช่คนแถวนี้ใช่ไหมเพราะคนแถวนี้ไม่มีใครก็ผ่านทางนั้นก็หลังเที่ยงคืนหรอก
ผมมองหน้าพี่คนนั้นทั้งที่ยังรู้สึกโกรธอยู่ไม่น้อย แต่ก็น่าสงสัยในสิ่งที่เขาพูดอยู่ด้วยเจ้าแม่ต้นไทรแล้วไงจนตำรวจเฝ้าตอนกลางคืนยังไม่กล้าอยู่เลยครับ ผมลุกขึ้นได้แต่นึกปลอบใจตัวเองว่าดวงคงจะตกเจอผีหลอกรถล้มแล้วก็คนแล้งน้ำใจอีกให้พี่ช่วยพาไปหาหมอหรือเปล่าน้อง ผมส่ายหน้าลุกขึ้นคร่อมรถและขี่รถกลับหอพักทันที
เมื่อถึงหอพักผมก็จัดการอาบน้ำและทำแผลให้ตัวเอง คิดว่าจะเอารถไปซ่อมตอนไหนดีจนเผลอหลับไปผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เที่ยงแล้วรู้สึกเมื่อยไปทั้งตัว โทรไปหาแม่เล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่ฟังจากที่ผมต้องกลับบ้านไปเยี่ยมแม่กลายเป็นแม่ต้องมาเยี่ยมผมแทนครับ ผมนั่งรถกลับไปไม่ไหวหลังจากคุยกับแม่เสร็จผมก็ลุกขึ้นอาบน้ำเตรียมตัวจะออกไปหาอะไรกิน
เพื่อนร่วมงานผมก็โทรมาคุยเรื่องงานพอดี พูดสนทนาเรื่องงานจนจบเรื่องไปผมก็เลยถือโอกาสเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เพื่อนร่วมงานฟัง เรื่องว่าทางที่ผมกลับไปเป็นประจำนั้นตอนกลางคืนดึกๆจะไม่มีใครกล้าผ่านกันสักเท่าไหร่ ถ้าไม่ใช่คนแถวนั้นก็จะไม่รู้ว่ามันเป็นทางสามแพร่งเฮี้ยนมาก ๆ ซึ่งเมื่อก่อนไม่เฮี้ยนขนาดนี้เพราะมีคนเอาคุณไสยดำมาทิ้งไว้ผมเลยรู้และไม่กล้าขับผ่านทางนั้นอีก
เครดิตปก: วาดขึ้นมาด้วย Photoshop โดยคุณ สุทธิพัฒน์
ความคิดเห็น
