อื่นๆ

ความห่วงใย

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ความห่วงใย

.. เครดิตภาพโดย StartupStockPhotos จาก https://pixabay.com/th/photos/593327/

ประสบการณ์ที่ผมจะเล่าต่อไปนี้เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงวันหยุดที่ผ่านมา  ซึ่งเป็นวันหยุดที่ได้หยุดกันแบบกระทันหันทั่วประเทศแต่บางบริษัทก็ไม่ได้หยุด  บริษัทผมเองอยู่ในเครือรัฐวิสาหกิจและกลุ่มหน่วยงานรัฐบาลจึงได้มีวันหยุดกับเขาด้วยทีมของผมทุกคนต่างวางแผนกันไปเที่ยวบางคนก็จะไปกับครอบครัวบางคนก็ไม่ได้ไปไหนรวมถึงตัวผมที่ยังไม่รู้ว่าจะไปไหนดีหว่า  หยุดแค่วันเดียววันหยุดนั้นผมจึงถือว่าเป็นวันทำงานปกติแต่เป็นวันที่ตื่นสายมาทำงานได้โดยที่ไม่ต้องฟังหัวหน้าบ่น  ผมเข้ามาที่ออฟฟิศในช่วงบ่ายมีแค่ยามที่นั่งเฝ้าออฟฟิศอย่างเหงา ๆ อยู่คน 2 คนผมทักทายเล็กน้อยก่อนจะเดินเปิดประตูเข้ามาโดยที่ไม่ได้สแกนนิ้วเพราะพี่ยามใช้คีย์การ์ดเปิดประตูให้ผม  ทำงานที่นี่มาประมาณ 7 เดือนเข้าสู่เดือนที่ 8 สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยคือ ออฟฟิศที่นี่รณรงค์เรื่องการประหยัดพลังงานเป็นอย่างมากผมไม่สามารถเปิดแอร์ทำงานในวันหยุดได้การแต่งตัวมาทำงานในวันหยุดจึงเป็นการแต่งตัวที่ค่อนข้างจะสบายเป็นครั้งแรกของผม  ในการมาทำงานที่ออฟฟิศในวันหยุดเพราะปกติการทำงานในวันหยุดของผมจะเป็นการออกใบงานอบรมและสัมมนาที่ต่างจังหวัดผมเข้ามาในออฟฟิศแล้วก็เปิดไฟและพัดลมจากห้องครัวของออฟฟิศมาเปิดที่โต๊ะของตัวเอง

Advertisement

Advertisement


ผมนั่งทำงานไปได้สักพักก็มีเพื่อนร่วมงานเดินเข้ามาแต่ผมไม่ค่อยจะสนิทมากนะเพราะเป็นคนละทีมกับผมผมเงยหน้าและยิ้มให้เป็นการทักทายเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าทำงานของตัวเองต่อผมทำงานไปจนลืมเวลาดูนาฬิกาที่หน้าจอคอมพิวเตอร์อีกทีก็ 17:00 แล้วผมลุกขึ้นยืนมองไปรอบๆเพื่อดูว่าเพื่อนร่วมงานที่เดินเข้ามานั้นกลับออกไปหรือยัง  แต่ก็ยังเห็นเขานั่งอยู่ที่โต๊ะฝั่งตรงข้ามเยื้องโต๊ะผมออกไปอีกประมาณ 3-4 โต๊ะผมยกมือขึ้นดูนาฬิกาที่ข้อมือตัวเองอีกรอบแล้วชั่งใจอยู่พอสมควรว่าจะชวนเพื่อนร่วมงานคนนั้นไปกินข้าวด้วยกันดีหรือเปล่า เพราะผมคิดว่าผมคงจะกลับเข้ามาที่ออฟฟิศอีกรอบเพื่อเคลียร์เอกสารสำหรับรอเข้าประชุมกับหัวหน้าในวันพรุ่งนี้ผมตัดสินใจเดินไปหาเพื่อนร่วมงานคนนั้นซึ่งเราไม่เคยได้คุยกันและผมยังไม่รู้จักชื่อเขา


..เครดิตภาพโดย free-photos จาก https://pixabay.com/th/photos/336377/

Advertisement

Advertisement

คิดแค่ว่าวันนี้คงมีเพื่อนใหม่เพิ่มมาอีกคน  ผมลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะตัวเองไปได้ไม่กี่ก้าวพี่ยามก็เปิดประตูออฟฟิศเข้ามาเรียกและถามว่าผมจะกลับกี่โมง  ผมคุยกับพี่ยามเสร็จก็กำลังจะเดินไปหาเพื่อนร่วมงานต่อตอนที่หันกลับไป  ผมก็ไม่เห็นเขานั่งอยู่ที่โต๊ะแล้วเลยมองหาก็เห็นว่าเขาเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับกาแฟ 2 แก้วเดินตรงมาที่ผมเขายื่นกาแฟให้ผมและถามผมว่าจะกลับตอนไหน  ผมคุยกับเขาไปได้สักพักก็รู้ว่าเขาชื่อพี่ซันเป็นหัวหน้าอีกทีมหนึ่งคุยไปคุยมาก็จะคุยกันถูกคอซะด้วยกลายเป็นว่าเราคุยกันหลายเรื่องทั้งเรื่องงานและเรื่องอื่นๆ  คุยไปจิบกาแฟไปจนเวลาล่วงเลยไปถึง 18:00 นพี่ซันก็บอกกับผมว่าเขาจะต้องกลับแล้วเพราะต้องแวะไปหาแฟนก่อนกลับผมกับพี่ซันนก็เลยออกจากออฟฟิศพร้อมกัน


เพียงแต่จุดหมายของเรามันเป็นคนละอย่าง  ผมออกไปหาอะไรกินแล้วจะกลับมาที่ออฟฟิศต่อ  แต่พี่ซันกลับไปแล้วเมื่อผมออกไปหาอะไรกินเสร็จเรียบร้อยกลับมาที่ออฟฟิศก็เป็นเวลา 2 ทุ่มกว่า ๆ แล้วออฟฟิศในตอนที่ผมกลับเข้ามานั้นค่อนข้างจะมืดและมีไฟเปิดไว้ไม่มากเปิดแค่เฉพาะบางจุดพอให้มองเห็นทางเท่านั้นผมมองไปที่เคาน์เตอร์ก็ไม่เห็นพี่ยามนั่งอยู่สักคนผมเลยยืนรออยู่สักพักก็มีพี่ยามเดินออกมาจากทางเดินขึ้นไปห้องน้ำเขาทักทายผมว่ายังไม่กลับอีกเหรอ  ผมก็บอกว่าผมออกไปหาอะไรกินมาแล้วก็กลับมาเคลียร์งานต่ออีกเล็กน้อยพี่ยามก็ยินดีเปิดประตูให้ผมอีกรอบแล้วบอกว่าอีกไม่นานจะหมดกะของเขาแล้วเดี๋ยวจะมีคนใหม่เข้ามาแทน   ผมพยักหน้าแทนคำตอบรับรู้ก่อนเดินเข้าไปในออฟฟิศเปิดไฟอีกครั้งและเดินตรงไปที่โต๊ะของตัวเองแต่ก่อนที่ผมจะเดินไปถึงโต๊ะของตัวเองช่วงจังหวะที่ผมเปิดไฟผมก็เห็นเหมือนมีเงาอะไรบางอย่างผ่านไปตรงแถว ๆโต๊ะของผม  ผมหยุดชะงักหรี่ตามองให้ชัด ๆ อีกรอบพยายามใช้หูตั้งใจฟังก็ไม่เห็นแล้วได้ยินเสียงอะไร

Advertisement

Advertisement


.. เครดิตภาพโดย Tama66 จาก https://pixabay.com/th/photos/4335428/

ผมจึงเดินไปที่โต๊ะของตัวเอง  นั่งลงทำงานต่อที่ค้างเอาไว้เลย  ผมมองนาฬิกาอีกครั้งก็สามทุ่มกว่าแล้ว แต่งานยังเสร็จไม่ถึงครึ่งผมชั่งใจอยู่นานว่ากลับไปทำที่บ้านต่อหรือจะทำให้เสร็จที่นี่เลยทีเดียว ระหว่างที่ผมกำลังนั่งคิดอะไรเพลิน ๆ ผมก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูออฟฟิศเข้ามาเห็นว่าเป็นพี่ซันผมจึงเอ่ยปากทักทายอีกรอบว่าลืมของอะไรหรือเปล่าแต่พี่ซันไม่ตอบผมจึงไม่ได้สนใจอะไรมากคิดว่าแกคงไม่ได้ยินพี่ผมถามผมเลยก้มหน้าดูเอกสารต่อสักพักผมก็รู้สึกเหมือนมีคนเดินมาที่โต๊ะและมองดูผมอยู่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงพี่ซันถามผมว่ายังไม่กลับอีกเหรอผมเลยตอบกลับไปว่างานยังไม่เสร็จเลยพี่เหลืออีกเยอะจะว่าจะทำให้เสร็จก่อนแล้วค่อยกลับแล้วพี่ล่ะลืมอะไรพูดจบผมก็เงยหน้าขึ้นแต่ก็ไม่เห็นมีใครอยู่เลยคิดว่าพี่ซันแกคงถามแล้วก็กลับไปเลยตอนนั้นผมรู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกันที่พี่ซันถามผมแล้วก็ไม่อยู่รอฟังคำตอบ แต่ด้วยความที่ผมยังสนใจเรื่องงานเป็นหลักอยู่ทำให้ความคิดนั้นหายไปอย่างรวดเร็วผมรีบทำงานต่อในใจคิดว่าจะกลับจากออฟฟิศไม่เกิน 23:00 นั่งทำงานไปได้สักพักผมก็ได้ยินเสียงเหมือนคนเปิดประตูออฟฟิศเข้ามาอีกครั้งก็เห็นว่ายังเป็นพี่ซันเหมือนเดิมคราวนี้ผมไม่ได้ทักทายอะไรแต่ก็มองพี่ซันที่เดินเข้ามาในออฟฟิศและเดินไปที่โต๊ะของตัวเองผมมองดูพี่ซันนั่งลงที่โต๊ะของตัวเองก่อนจะหันกลับมาสนใจงานของตัวเองต่อไม่นานผมก็ได้ยินเสียงพี่ซันถามผมขึ้นอีกว่ายังไม่กลับอีกเหรอ


ผมเงยหน้าขึ้นไปจะตอบแต่คงเพราะความรู้สึกอะไรบางอย่างก็ไม่รู้บอกให้ผมลุกขึ้นและหันไปมองดูที่โต๊ะพี่ซัน   พี่ซันไม่ได้อยู่ที่โต๊ะและผมพยายามมองหาเท่าไหร่ก็ไม่เห็นจะมี  ตอนนั้นผมเริ่มใจคอไม่ดีแล้วมองดูนาฬิกาเวลาก็เพิ่งผ่านไปไม่นานยังไม่ 10:00 เลยด้วยซ้ำผมนั่งลงและพยายามไม่คิดอะไรมากเป็นอีกครั้งที่ผมทิ้งความคิดไปและสนใจเรื่องงานในใจผมคิดอยู่บ้างว่าถ้าจะเป็นอะไรที่ผมคิดไว้ก็ขออย่าให้มารบกวนผมเลยผมมาทำงานไม่ได้มาทำอะไรที่ไม่ดีผมยังคงนั่งทำงานต่อไป

เวลาผ่านไปไม่นานผมก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูเข้ามาอีกครั้งครั้งนี้ผมหยุดพิมพ์งานที่กำลังทำอยู่ตั้งสติและตั้งใจฟังเสียงตาของผมมองอยู่ที่คีย์บอร์ดอย่างไม่ละสายตา   แต่หูของผมก็ได้ยินเสียงคนกำลังเดินเข้ามาหาอย่างชัดเจนไม่นานผมก็ได้ยินเสียงถามผมอีกครั้งว่ายังไม่กลับอีกเหรอ   ตอนนี้ผมเริ่มแน่ใจแล้วว่าสิ่งที่ผมเห็นและได้ยินเสียงนั้นผมน่าจะไม่ใช่พี่ซันอย่างแน่นอนผมนิ่งเงียบพยายามรวบรวมสติแต่ก็ยังมีเสียงถามผมอีกครั้งว่ายังไม่กลับอีกเหรอ


.
เครดิตภาพโดย AdinaVoicu จาก https://pixabay.com/th/photos/518322/

ผมตัดสินใจลุกขึ้น แล้วก็เจอกับพี่ยามที่เดินเข้ามาทักทายผม ความกลัวของผมหายไปทันทีพี่ยามถามย้ำกับผมว่าจะกลับตอนไหนก็ช่วงเปลี่ยนกะจะไม่มีคนอยู่ก็ประมาณ 15 นาทีผมก็เลยบอกเขาไปว่าผมจะพยายามทำไม่เกิน 23:00 พี่ยามก็พยักหน้ารับและเดินกลับออกไปก่อนจะปิดประตูแกก็บอกกับผมอีกว่าถ้าไม่ใช่คนที่ใส่ชุดยามก็อย่าเปิดประตูให้ล่ะผมเลยถามออกไปว่าทำไมพี่ยามแกก็บอกว่าเผื่อจะเป็นขโมยไม่มีอะไรหรอก ผมก็อยากได้พร้อมรับทำประตูของออฟฟิศนั้นสามารถเปิดจากข้างในได้แต่ถ้าจะเข้ามาจากข้างนอกจำเป็นจะต้องสแกนนิ้วหรือมีคีย์การ์ดเท่านั้นแต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดเครื่องสแกนนิ้วยังไม่ทำงานถ้าจะเข้ามาทำงานได้ก็ต้องเป็นพี่ยามเท่านั้นที่เปิดประตูให้


ผมนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง  ถอนหายใจเพื่อสลายความกลัวที่คิดไปเองอีกรอบและทำงานต่อ ผมทำงานต่อไปได้สักพักรู้สึกว่าตัวเองยังคงคิดถึงเรื่องเมื่อตะกี้ไม่หายก็เลยลุกขึ้นไปที่ครัวของออฟฟิศเพื่อชงกาแฟขณะที่ผมชงกาแฟอยู่ในครัวผมก็ได้ยินเสียงเปิดประตูออฟฟิศอีกแล้วเดินไปชะโงกหน้าดูตรงทางเดินที่สามารถมองเห็นคนเดินเข้ามาทางประตูออฟฟิศได้ก็เห็นว่าเป็นพี่ยามที่เดินเข้ามาผมตะโกนออกไปว่ามีคนอยู่นะครับพี่ผมชงกาแฟอยู่ในครัวแล้วผมก็ได้ยินเสียงถามกลับมาว่ายังไม่กลับอีกเหรอผมหันไปตามเสียงเรียกถามที่ดังมาจากทางด้านหลังก็ไม่เห็นมีใครตอนนี้ผมเริ่มคิดแล้วว่าตัวเองต้องหูฝาดหรือหลอนไปเองแน่ ๆ ผมวางแก้วกาแฟลงโดยที่ยังไม่ได้ดื่มรีบเดินออกจากห้องครัวไปพยายามมองหาพี่ยามที่ผมเห็นว่าเดินเข้ามาในออฟฟิศแต่ผมก็ไม่เจอใครผมเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีแล้วเลยตัดสินใจจะเอางานกลับไปทำต่อที่บ้าน


ผมรีบกลับไปที่โต๊ะของตัวเองรีบเซฟงานลงไดรฟ์และเก็บของ  ระหว่างที่ผมกำลังเก็บของอยู่นั้นผมก็ได้ยินเสียงเปิดประตูออฟฟิศเข้ามาอีกครั้งผมหยุดเก็บของไปแป๊บนึงก่อนจะรีบตั้งสติและเก็บของต่อเพื่อเตรียมกลับออกไป  ผมเดินก้มหน้ามองพื้นตลอดก็ตรงไปที่ประตูเพราะไม่อยากเห็นอะไรที่ไม่อยากเห็นเมื่อมาถึงประตูผมกำลังจะเอื้อมมือไปกดปุ่มเปิดประตู จู่ ๆ ไฟออฟฟิศก็ดับลงผมตกใจมากพยายามคุมสติผมเห็นเป็นเงาลาง ๆ ว่าหน้าคล้ายกับคน ๆ หนึ่งซึ่งเป็นคนที่ผมรักมากทันใดนั้นไฟติดขึ้นมาทันที  และก็ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงว่านี่คือแม่ของผมเองเธอจากผมไปตอนผมอายุ 6 ขวบ  เธอบอกกับผมว่าแม่คิดถึงและเป็นห่วงลูกเสมอนะพักผ่อนบ้างนะ หลังจากวันนั้นผมก็ไปใส่บาตรทำบุญให้แม่ทุกวันและดูแลสุขภาพเป็นอย่างดีไม่ทำงานดึกเหมือนแต่ก่อนครับ


คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์