อื่นๆ
บนบาน...แลกอะไร

ภาพโดย J. Ketelaars จาก Pixabay
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อตอนดิฉันอายุ 17 ปี กำลังเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 (มศ.) ในสมัยนั้นก็จะมีเพื่อนที่สนิทกันมากอยู่ 4 คน ไปไหนไปกัน ทำอะไรด้วยกันเสมอ กิน เล่น และเที่ยว แต่ก็ยังคงตั้งใจเรียนควบคู่กันไป
แต่มีเพื่อนในกลุ่มอยู่คนนึงที่เกิดความรักขึ้นในวัยเรียน มันเป็นความรักของคนวัยใส ซึ่งพวกเราในกลุ่มก็ทราบเรื่องนี้ดีว่าทั้งเพื่อนดิฉันกับเด็กต่างสถาบันคนนั้นคบกันด้วยความบริสุทธ์ใจ และไม่เคยนอกลู่นอกทาง
ภาพโดย Sasin Tipchai จาก Pixabay
การคบกันของคนทั้งสองไม่อาจรอดพ้นสายตาของครูฝ่ายปกครองของโรงเรียนดิฉันไปได้ สมัยเมื่อ 39 ปีที่แล้วการคบกันของเพื่อนต่างวัยมักเป็นเรื่องใหญ่ของโรงเรียนส่วนใหญ่ ซึ่ง 1 ในนั้นก็มีโรงเรียนของดิฉันรวมอยู่ด้วย
ในสายตาฝ่ายปกครองของโรงเรียนดิฉันกับเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรง ทั้งๆที่เพื่อนของดิฉันแค่คบกับเพื่อนต่างเพศและไม่เคยมีอะไรเกินเลย และลงความเห็นว่าทำผิดกฎโรงเรียนขั้นร้ายแรง ถึงขนาดตัดอนาคตเพื่อนดิฉันโดยสั่งให้พ้นสภาพการเป็นนักเรียน
Advertisement
Advertisement
ดิฉันรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ในครั้งนี้มาก เพราะรู้สึกว่าทางโรงเรียนทำเกินกว่าเหตุ ถึงขนาดตัดอนาคตของเด็กคนนึงได้ลงคอ ดิฉันเก็บความคับแค้นใจเอาไว้ แต่เรื่องมันไม่ได้จบแค่ตรงเพื่อนดิฉันคนนั้นเท่านั้น
ในความคิดของครูฝ่ายปกครองท่านนั้นคิดว่ากลุ่มของดิฉันซึ่งตอนนั้นเหลือกันอยู่แค่ 3 คนคงจะประพฤติตัวไม่ดีเหมือนกันหมด เธอจึงเรียกพวกเราเข้าไปหาในห้องเธอทีละคน
เพื่อนคนแรกเข้าไปหาเธอแล้วออกมา คนที่สองหายเข้าไปแล้วก็ออกมา ทั้งคู่ออกมาพร้อมกับร้องไห้ฟูมฟาย ดิฉันไม่ทราบหรอกว่าพวกเขาคุยอะไรกัน ดิฉันรู้สึกโกรธอย่างรุนแรง พลางพูดกับเพื่อนๆว่าถ้าเราไม่มีความผิดจะร้องไห้ทำไม ทำไมไม่ปกป้องตัวเอง
สมัยนั้นเด็กๆมักไม่มีปากเสียงกับผู้ใหญ่ กลัวในสิ่งที่ไม่ควรกลัว เพื่อนทั้ง 3 คนของดิฉันก็เช่นกัน ต่างกับดิฉันโดยสิ้นเชิง ดิฉันโดนเรียกเข้าไปเป็นคนสุดท้าย ครูฝ่ายปกครองท่านนั้นพยายามข่มขู่ต่างๆนานา ให้ดิฉันรับว่าคบกับเพศตรงข้ามอยู่ และคาดคั้นให้ยอมรับความจริงมาเพราะท่านรู้หมดแล้ว
Advertisement
Advertisement
ความรู้สึกดิฉันตอนนั้นคือคับแค้นใจจนถึงขีดสุด ทำไมคุณครูท่านนี้ถึงได้รังแกเด็กที่ไม่มีความผิดได้ขนาดนี้ ดิฉันพูดกับเธอทั้งน้ำตาว่า "ถ้าคุณครูคิดว่าหนูผิด คุณครูไปหาหลักฐานมา แล้วเอาหนูออกได้เลย" พูดเสร็จดิฉันก็เดินออกมาพร้อมกับน้ำตาแห่งความคับแค้นใจ
ดิฉันมีเชื้อสายจีนที่บ้านจึงมีตี่จู้เอี้ยะ (เจ้าที่บ้านจีน) เด็กๆสมัยนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นจะไม่กล้าคุยกับผู้ใหญ่ ดิฉันคับแค้นใจอย่างที่สุดจึงหาที่พึ่ง ที่พึ่งของดิฉันคือตี่จู้เอี้ยะที่บ้านนั้นเอง
บังเอิญวันนั้นที่บ้านไม่มีใคร ดิฉันจุดธูปไหว้ท่าน นั่งร้องไห้พลางพูดว่า ลูกไม่เคยประพฤติตัวไม่ดี ถ้าลูกไม่มีความผิดขอให้คุณครูหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจงมีอันเป็นไป พร้อมทั้งรำพึงรำพัน และเอ่ยขอให้อากงช่วย(เจ้าที่) พร้อมทั้งบอกว่าจะเอาผลไม้มาถวายอากง
Advertisement
Advertisement
เมื่อได้ระบายกับอากงแล้วดิฉันก็รู้สึกสบายใจขึ้น มันเป็นการบนบานแบบเด็กๆที่มักเห็นแม่ดิฉันทำเป็นประจำ แต่มิได้คาดหวังผลลัพธ์ใดๆ แล้วดิฉันก็ลืมเรื่องนี้ไปเลย
เวลาผ่านไปไม่นานนักดิฉันกลับจากโรงเรียน แม่ของดิฉันเล่าว่าเมื่อคืนมีคุณครูชายสอนวิชาพละของโรงเรียนดิฉันขี่มอเตอร์ไซต์พุ่งเข้าชนท้ายรถบรรทุกเหล็กเส้นที่จอดอยู่ข้างทาง ห่างบ้านดิฉันไปประมาณ 300 เมตร ร่างพุ่งเข้าเสียบเหล็กเส้นตายคาที่ในท่านั่งอยู่บนมอเตอร์ไซต์
ดิฉันฟังเรื่องนี้แบบสะใจนิดๆเพราะทราบดีว่าคุณครูพละท่านนี้เป็นคู่หมั้นของคุณครูฝ่ายปกครองคนที่ไล่เพื่อนดิฉันออกจากโรงเรียน และทั้งสองท่านมีกำหนดการจะแต่งงานกันในไม่ช้า สะใจที่เธอเป็นหม้ายขันหมาก
ภาพโดย Ahmed AbdulMoniem จาก Pixabay
วันเวลาผ่านไปจนดิฉันลืมเหตุการณ์ต่างๆจนหมด คืนหนึ่งดิฉันล้มตัวลงนอนบนเตียง ยังไม่ทันจะหลับ มีความรู้สึกเหมือนโดนกระชากตัวลอยขึ้นจากเตียง และถูกกระชากตัวพุ่งออกไปหน้าบ้านอย่างเร็ว
ดิฉันมายืนงงอยู่หน้าบ้านตัวเอง หน้าบ้านมืดมิด บนถนนหน้าบ้านมีผู้คนเดินกันขวักไขว่ แต่แปลกที่ดิฉันไม่รู้จักพวกเขาเลยสักคน และก็ไม่มีใครสนใจดิฉันเลยเช่นกัน
ยืนงงอยู่ซักพักก็พลันมีเด็กผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกันเดินเข้ามาหาดิฉัน ในความรู้สึกตอนนั้นดิฉันรู้ได้ว่าเธอคือเพื่อน แต่กลับนึกไม่ออกว่าเราเคยเป็นเพื่อนกันตอนไหน เธอถามดิฉันว่ามายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ ดิฉันตอบเธอว่าไม่รู้เหมือนกัน เธอจึงตวาดดิฉันว่า "ไป๊ กลับเข้าบ้านไปซะ" พลันร่างดิฉันก็ลอยละลิ่วมาตกอยู่บนเตียงดังตึ้ง
ดิฉันตกใจสุดขีด ลุกขึ้นมานั่งคิดว่ามันคือความฝันหรือไม่ ทำไมมันเหมือนเกิดขึ้นจริงๆ ในขณะนั้นก็เกิดความกลัวอย่างสุดขีดจึงวิ่งไปหาแม่ขอนอนด้วย คืนนั้นนอนกอดแม่ตัวสั่นร้องไห้ทั้งคืน
รุ่งเช้าแม่ดิฉันคาดคั้นว่าไปทำอะไรมา กว่าดิฉันจะนึกได้ว่าดิฉันไปบนให้อากงช่วยก็ใช้เวลานานทีเดียว ดิฉันจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนและการจุดธูปให้อากงช่วยให้แม่ฟังทั้งหมด แม่จึงไปซื้อผลไม้มาให้ดิฉันแก้บน หลังจากนั้นเหตุการณ์ต่างๆก็สงบลง
จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ดิฉันโดนแม่ตำหนิอย่างรุนแรง และกล่าวว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาล้อเล่นได้ หากวันนั้นเพื่อนปริศนาคนนั้นไม่ช่วยไว้ อาจจะไม่มีดิฉันมาเล่าเรื่องนี้อยู่ก็เป็นได้
ดิฉันไม่ทราบหรอกว่าการเสียชีวิตของคุณครูพละท่านนั้นเกี่ยวข้องกับการบนบานของดิฉันหรือไม่ แต่ดิฉันทราบอยู่เรื่องหนึ่งคือจะไม่บนบานอะไรแบบนี้อีกเลยตลอดชีวิต
ภาพโดย Steve Adcock จาก Pixabay
ความคิดเห็น






